พระพิฆเณศ
รูปพระพิฆเณศวร รูปภาพ งานศิลปะ พระพิฆเนศ
คลิกที่นี่เพื่อกลับไปหน้าแรกพระพิฆเนศ

ทัศนะทางปรัชญาและศาสนาของอินเดีย
(ขอขอบพระคุณ : บทความจาก เสขิยธรรม www.skyd.org)

ประเทศอินเดียมีอิทธิพลต่อวัฒนธรรมไทยหลายอย่าง เช่นศาสนาหลักๆ
ที่เรานับถือกันอยู่เวลานี้คือพุทธศาสนาและศาสนาฮินดูก็มาจากอินเดีย วรรณคดีที่สำคัญของเราบางเรื่องเช่น “รามเกียรติ์”
ก็มาจากอินเดีย แม้ระบบการปกครองและระบบกฎหมายไทยโบราณก็ได้มาจากประเทศอินเดีย
สถาบันพระมหากษัตริย์อย่างที่เรามีอยู่เวลานี้ก็มาจากแนวคิดของอินเดีย
ดังนั้นการศึกษาเรื่องราวของอินเดียจึงมีความสำคัญต่อการเข้าใจสังคมไทย
บทความนี้จะกล่าวถึงแนวคิดทางศาสนาและปรัชญาของอินเดีย
และชี้ให้เห็นว่าสังคมไทยเราควรรับเอาแนวคิดเหล่านี้มาปรับใช้ในยุคปัจจุบันอย่างไรบ้าง นอกเหนือจากที่มีอยู่แต่ก่อนแล้ว
ศาสนาที่เก่าแก่ที่สุดของอินเดียคือ ศาสนาพราหมณ์ ต่อมาเรียกว่า ศาสนาฮินดู เดิมนั้นศาสนาฮินดูสอนเรื่องเทพเจ้าประจำธรรมชาติ เช่น สอนว่ามีเทพประจำแผ่นดิน ทะเล ท้องฟ้า ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และอื่น ๆ ต่อมาเทพเจ้าหลายองค์นี้ก็ได้รับเลือกให้มีบทบาทเด่นที่สุดสามองค์คือ พระพรหม พระนารายณ์ (หรือพระวิษณุ) และพระศิวะ (หรือพระอิศวร) ปัจจุบันเทพเจ้าสามองค์มีเพียงสององค์ที่ชาวฮินดูนับถือมากที่สุดคือ พระศิวะ และ พระนารายณ์ ในสังคมไทยนั้นเรากลับนับถือ พระพรหม มากกว่าพระนารายณ์และพระศิวะ ชาวฮินดูเชื่อว่าเทพเจ้าสามองค์นี้มีบทบาทหลักเกี่ยวข้องกับโลกเรา (โลกในที่นี้หมายถึงจักรวาล) ต่างกันคือ พระพรหมสร้างโลก พระนารายณ์คุ้มครองโลก พระศิวะทำลายโลก บทบาทสามประการของเทพเจ้าสามองค์นี้มาจากความเชื่อของศาสนาฮินดูที่ว่า จักรวาลนี้มีเกิดมีดับสลับกันไปเช่นนี้ชั่วนิจนิรันดร
การเกิดดับของโลกนี้ศาสนาฮินดูเชื่อว่าเกี่ยวข้องกับการที่มนุษย์เราประพฤติตนอย่างไรในทางศีลธรรม เมื่อพระพรหมสร้างโลกแล้ว พระพรหมก็จะปล่อยให้มนุษย์ดูแลโลกไป ตราบเท่าที่มนุษย์ยังมีศีลธรรมอยู่ ตราบนั้นโลกก็จะยังดำเนินไปด้วยดี ต่อเมื่อใดที่มาตรฐานทางศีลธรรมของมนุษย์ต่ำลง เมื่อนั้นโลกจะค่อย ๆ เสื่อมลง ความเสื่อมของโลกนี้ดูจากการที่โลกจะมีความทุกข์เพิ่มมากขึ้น ชีวิตมนุษย์จะเต็มไปด้วยปัญหามากกว่าแต่ก่อน ตามความเชื่อของชาวฮินดู เพื่อให้ศีลธรรมของมนุษย์ดำรงอยู่ พระนารายณ์จะอวตารลงมาเกิดเป็นผู้นำทางศีลธรรมเพื่อบอกมนุษย์ว่า อะไรคือความดี อะไรคือความชั่ว บางครั้งก็มีการอธิบายว่าแม้แต่พระศาสดาในศาสนาอื่น เช่น พระพุทธเจ้าของศาสนาพุทธ ก็เป็นภาคอวตารของพระนารายณ์ จะอย่างไรก็ตาม พระนารายณ์ก็ไม่สามารถบังคับให้มนุษย์ทำดีได้หากมนุษย์ไม่เห็นคุณค่าของความดีนั้นด้วยตัวเขาเอง ดังนั้นจึงเป็นไปได้ว่าแม้จะมีศาสนาแล้ว ในเวลาต่อมาศีลธรรมของมนุษย์ก็สามารถเสื่อมลงได้เพราะมนุษย์ไม่เห็นคุณค่าของศาสนา เมื่อเป็นเช่นนี้บทบาทของพระนารายณ์ก็จะค่อย ๆ ลดลง จนถึงวันหนึ่งเมื่อมาตรฐานทางศีลธรรมของมนุษย์ตกต่ำจนถึงระดับวิกฤติ พระศิวะจะเข้ามาทำหน้าที่แทนพระนารายณ์ นั่นก็จะถึงจุดจบของโลก โลกจะพินาศเพราะการทำลายของพระศิวะ เมื่อโลกถูกทำลายแล้ว พระพรหมก็จะเข้ามารับช่วงในการสร้างโลกรอบใหม่ต่อไป

แนวคิดของศาสนาฮินดูหลายอย่างนั้นศาสนาอื่น ๆ ในอินเดียเช่นพุทธศาสนาอาจไม่เห็นด้วย เช่นพุทธศาสนาไม่เห็นด้วยกับแนวคิดเรื่องวรรณะที่ศาสนาฮินดูสอน พุทธศาสนาไม่เห็นด้วยกับความเชื่อของศาสนาฮินดูที่ว่าพิธีกรรมช่วยให้ชีวิตเราบริสุทธิ์ได้ (เช่นการลงไปอาบน้ำในแม่น้ำคงคาจะช่วยให้พ้นจากบาปที่ได้กระทำมา) แต่ในเรื่องโครงสร้างทางศีลธรรมที่กล่าวมานี้ ดูเหมือนว่าพุทธศาสนาจะเห็นด้วยกับศาสนาฮินดู นอกจากพุทธศาสนายังมีศาสนาที่สำคัญอีกศาสนาหนึ่งของอินเดีย เกิดร่วมสมัยกับพุทธศาสนาคือ ศาสนาไชนะ ศาสนานี้ก็เชื่อในเรื่องโครงสร้างทางศีลธรรมที่จะช่วยค้ำจุนโลกเหมือนกัน แต่รายละเอียดว่าธรรมที่ว่านั้นคืออะไรศาสนาเหล่านี้สอนต่างกัน

ศาสนาฮินดู สอนว่า ธรรมคือการทำหน้าที่
ศาสนาพุทธ
สอนว่า ธรรมคือการทำตัวให้สอดคล้องกับกฎธรรมชาติ
ศาสนาไชนะ (ศาสนาเชน) สอนว่า ธรรมคือการไม่เบียดเบียนผู้อื่น


เมื่อสามศาสนานี้นิยามธรรมต่างกัน หลักการปฏิบัติหรือหลักการสำหรับตัดสินว่าความดีความชั่วคืออะไรก็ต่างกัน เพื่อให้เห็นภาพคำสอนที่ต่างกันของสามศาสนานี้ ขอให้พิจารณาตัวอย่างต่อไปนี้

1. ทหารที่ไปรบเพื่อป้องกันประเทศ จำเป็นต้องฆ่าข้าศึก ถามว่าเขาทำบาปไหม?

2. เรากินยาถ่ายพยาธิเพื่อให้สุขภาพแข็งแรง ถามว่าเราทำบาปไหม?

3. เราเดินทางข้ามทะเลทรายโดยขี่ม้า ระหว่างทางม้าเราขาหักไปต่อไม่ได้ เราไม่สามารถพาม้าไปด้วย
ปัญหาคือถ้าทิ้งม้าไว้อย่างนั้นกว่ามันจะตายท่ามกลางแสงแดดที่ร้อนระอุนั้นต้องใช้เวลาหลายวัน
เราไม่ต้องการให้ม้าที่เรารักตายอย่างทรมาน เราจึงตัดสินใจยิงมันด้วยปืนเพื่อให้ตายทันที ถามว่าเราได้ทำบาปไหม?

ปัญหาข้างต้นนี้เป็นปัญหาที่เรียกกันในทางปรัชญาว่า ปัญหาความขัดแย้งทางศีลธรรม (moral dilemma) ซึ่งเป็นปัญหาที่ตอบได้ยาก และปัญหาประเภทนี้โลกมนุษย์กำลังเผชิญหน้าอยู่ไม่น้อย (เช่นปัญหาการทำแท้ง ปัญหาโทษประหารชีวิต) มีความพยายามจากหลายฝ่ายที่จะแก้ปัญหาความขัดแย้งทางศีลธรรมเหล่านี้ และศาสนาก็เป็นสถาบันหนึ่งที่มีบทบาทสูงในการให้คำอธิบายและทางออกแก่ปัญหาเหล่านี้ ในที่นี้เราจะลองพิจารณาทัศนะของสามศาสนาที่สำคัญของอินเดียที่กล่าวข้างต้น คำตอบที่แต่ละศาสนาให้แก่ปัญหาเหล่านี้จะสะท้อนให้เห็นว่าแต่ละศาสนาคิดอย่างไรเกี่ยวกับโลกและชีวิต

เราจะเริ่มที่ ศาสนาฮินดู ในคัมภีร์ "ภควัทคีตา" ที่เป็นคัมภีร์สำคัญเล่มหนึ่งของศาสนาฮินดู มีการนิยามธรรมว่าคือการทำหน้าที่ ในคัมภีร์เล่มนี้มีการเล่าเรื่องว่าแม่ทัพคนหนึ่งเกิดความสงสัยว่า การที่ตนเองเป็นทหารต้องเข้ารบอยู่เสมอและในการรบนั้น ก็จำเป็นต้องเข่นฆ่าฝ่ายตรงกันข้าม เขาจะต้องรับบาปอันเกิดจากการฆ่าคนหรือไม่ เนื้อหาของคัมภีร์ได้ตอบว่า ตามทัศนะของศาสนาฮินดู อะไรจะผิดหรือไม่ผิดขึ้นอยู่กับว่าสิ่งนั้นเป็นหน้าที่ของเราหรือไม่ การตั้งคำถามเกี่ยวกับการกระทำใด ๆ โดยไม่ดูว่ากระทำโดยคนที่มีหน้าที่หรือไม่ ไม่สามารถตอบได้ว่าผิดหรือถูก เช่นการฆ่า ถามว่าผิดหรือถูกทันทีไม่ได้ ต้องถามว่าใครเป็นคนฆ่าและใครถูกฆ่า และฆ่าในสถานการณ์เช่นใด เช่น นายเขียวเป็นทหารไปรบฆ่านายขาวซึ่งเป็นฝ่ายตรงข้ามตาย อย่างนี้ ไม่ถือว่าผิด เพราะเป็นการทำตามหน้าที่ แต่ถ้านายเขียวเป็นคนธรรมดา วันหนึ่งเดินเข้าซอยเกิดเขม่นกับนายขาวแล้วฆ่านายขาวตาย อย่างนี้ ถือว่าผิด เพราะนายเขียวไม่มีหน้าที่ในการฆ่า กรณีตัวอย่างที่ยกมาข้างต้น ตามศาสนาฮินดูการกินยาฆ่าพยาธิ ถ้าตีความว่า เป็นไปตามหน้าที่ของมนุษย์ที่จะพึงรักษาสุขภาพของตนให้ดี ก็ไม่ถือว่าผิด การฆ่าม้าขาหักในทะเลทราย เพราะไม่ต้องการให้มันทุกข์ทรมาน ถ้าตีความว่า เป็นหน้าที่ของเราที่เป็นเจ้านายมันที่ต้องกระทำเช่นนั้นก็ไม่ถือว่าผิด

ธรรมตามทัศนะของพุทธศาสนา คือ การทำตัวให้สอดคล้องกับกฎธรรมชาติ การฆ่านั้นพุทธศาสนาถือว่าผิด ไม่ว่าจะฆ่าใคร ฆ่าที่ไหน หรือฆ่าภายใต้สถานการณ์เช่นใดก็ตาม ที่พุทธศาสนาเชื่อเช่นนั้นก็เพราะพิจารณาว่าการฆ่าเป็นอกุศลกรรมตามธรรมชาติ และสิ่งที่เป็นอกุศลกรรมตามธรรมชาตินั้นย่อมส่งผลให้เกิดความเดือดร้อนแก่ผู้กระทำเสมอ ไม่ว่าผู้กระทำจะอ้างว่าทำไปเพราะไม่มีทางเลือก เพราะสงสาร หรือเพราะถูกบังคับก็ตาม การไปรบแล้วฆ่าศัตรู การกินยาฆ่าพยาธิ การฆ่าม้าขาหักในทะเลทรายล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องที่ผิดตามหลักการของพุทธศาสนาทั้งสิ้น แม้ว่าพุทธศาสนาจะมองว่าความผิดถูกเป็นเรื่องตามธรรมชาติ มนุษย์ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งที่ผิดให้ถูกหรือที่ถูกให้ผิด แต่พุทธศาสนาก็มีจารีตในการที่จะไม่ใช้ศาสนาบีบบังคับให้บุคคลทำตามศีลธรรมของศาสนาหากเขาไม่ยินดี ชาวพุทธที่จำเป็นต้องทำบาปเช่นต้องประกอบอาชีพประมงเพื่อเลี้ยงชีพและไม่มีอาชีพอื่นให้ทำในท้องถิ่นนั้น (เช่นบริเวณชายทะเลที่ไม่สามารถทำการเกษตรได้) พุทธศาสนาก็อนุโลมให้เจ้าตัวพิจารณาเองว่าจะจัดการกับชีวิตตนเองอย่างไร ถ้าเจ้าตัวเขาเห็นว่าต้องทำไม่เช่นนั้นจะอดตายก็ทำได้ แต่พุทธศาสนาก็ยังยืนยันว่าการทำประมงนั้นเป็นบาป และชาวประมงก็ต้องรับกรรมที่กระทำนั้นในอนาคต การต้องทำบาปไม่เช่นนั้นจะอดตายพุทธศาสนาก็ยังถือว่าไม่พ้นความผิด ในขณะที่ศาสนาฮินดูอาจจะมองว่าการทำประมงเป็นหน้าที่ ถ้าไม่มีชาวประมงเราก็ไม่มีปลากิน ดังนั้นการทำประมงจึงไม่ผิด แต่การตกปลาเพื่อความสนุกสนานโดยไม่มีหน้าที่รองรับต้องถือว่าผิด

ธรรมตามทัศนะของศาสนาไชนะ คือ การงดเว้นที่จะไม่เบียดเบียนผู้อื่น หลักการนี้เรียกว่าหลักอหิงสา และผู้อื่นในที่นี้ศาสนาไชนะก็ตีความกว้างมากโดยครอบคลุมมนุษย์ สัตว์ พืช และแม้แต่สิ่งแวดล้อมตามธรรมชาติเช่นแม่น้ำ ป่าเขา อากาศ ศาสนาไชนะมีจริยธรรมที่เคร่งครัดมากกว่าทุกศาสนาในอินเดีย นักบวชในศาสนานี้จะได้รับการสั่งสอนให้พยายามเลี่ยงการเบียดเบียนชีวิตอื่น จึงมีนักบวชในนิกายหนึ่งของศาสนานี้ไม่สวมเสื้อผ้าเพราะคิดว่าเสื้อผ้าก็มาจากชีวิตผู้อื่น การกินอาหารก็พยายามระวัง ไม่ให้ทำร้ายใคร นักบวชไชนะไม่กินเนื้อสัตว์อยู่แล้ว แม้พืชที่กินก็พยายามกินพืชประเภทที่เราไม่ต้องทำลายมันทั้งชีวิตเพื่อเอามาเป็นอาหาร กรณีตัวอย่างที่ตั้งเป็นคำถามข้างต้นนั้นศาสนาไชนะเห็นด้วยกับพุทธศาสนาว่าต้องถือว่าผิด แต่ศาสนาไชนะก็เคร่งกว่าพุทธศาสนาตรงที่ไม่สอนให้ผ่อนปรน คนดีตามทัศนะศาสนานี้พร้อมจะทำตนให้ลำบากมากกว่าที่จะทำร้ายผู้อื่น ดังนั้นศาสนานี้น่าจะแนะให้ชาวประมงเลิกจับปลาแล้วหาอาชีพอื่นทำ ถ้าทำแถวนั้นไม่ได้ก็ควรย้ายไปอยู่ที่อื่น

ที่กล่าวมาข้างต้นนั้นเป็นการพิจารณาศาสนาของอินเดียจากประเด็นการตัดสินค่าทางจริยธรรม
ยังมีอีกประเด็นหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้ประเด็นที่กล่าวมาข้างต้นคือประเด็นว่าอะไรคืออุดมคติสูงสุดของชีวิต
อันที่จริงประเด็นนี้อาจถือได้ว่าสำคัญกว่าประเด็นแรกเสียด้วยซ้ำ
หากเราคิดว่าแนวความคิดทางปรัชญาและศาสนาของอินเดียนั้น โดยภาพรวมล้วนมุ่งแสวงหาว่า
อะไรคือจุดมุ่งหมายสูงสุดของชีวิตด้วยกันทั้งสิ้น

เราอาจแบ่งปรัชญาและศาสนาของอินเดียออกเป็น 2 พวกในเรื่องที่กล่าวอยู่นี้ คือ

(1) พวกที่เห็นว่าเป้าหมายสูงสุดของชีวิตคือการแสวงหาความสุขทางประสาทสัมผัสใส่ตน ปรัชญาที่มีแนวคิดนี้คือ ปรัชญาจารวาก

(2) พวกที่เห็นว่าความหลุดพ้นไปจากความทุกข์ อันเนื่องมาจากการต้องเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏ คือเป้าหมายสูงสุดของชีวิต ศาสนาที่เห็นในแนวนี้ก็คือศาสนาโดยทั่วไปของอินเดียอันได้แก่ศาสนาฮินดู พุทธศาสนาและศาสนาไชนะที่เรากล่าวถึงมาแล้ว

ปรัชญาจารวาก นั้นไม่เชื่อว่ามีชีวิตหลังความตาย ไม่เชื่อว่ามีวิญญาณที่จะล่องลอยไปเกิดใหม่หลังจากที่คนเราตายแล้ว เมื่อไม่เชื่ออย่างนี้เลย ทำให้คิดว่าการที่คนเรามีโอกาสได้เกิดมาดูโลกในช่วงระยะเวลาราว 70 ปีโดยประมาณนี้ต้องถือว่าเป็นโอกาสที่สำคัญ ตายไปแล้วไม่แน่ว่าเราจะได้เกิดอีกหรือไม่ เมื่อไม่แน่ใจ เราจะอุทิศชีวิตให้แก่อะไร ระหว่างความสุขที่สามารถจับต้องได้แน่ ๆ ในชาตินี้กับความหลุดพ้นที่ศาสนาต่าง ๆ ของอินเดียสอนอยู่ในเวลานั้น สำหรับปรัชญาจารวากการเลือกที่ฉลาดก็คือการเลือกสิ่งที่จับต้องได้และแน่นอนว่ามีตัวตนอยู่จริง ๆ

ปรัชญาจารวากคิดว่า คนที่เข้าใจชีวิตก็คือคนที่รู้จักตระเตรียมตัวเองเพื่อให้สามารถมีความสุขในโลกนี้ การตระเตรียมที่ว่านี้ก็เช่นเมื่อเป็นเด็ก เป็นวัยรุ่น เป็นหนุ่มสาวก็ต้องรู้จักขวนขวายเรียนหนังสือ เมื่อเรียนจบแล้วก็รู้จักทำงานสร้างเนื้อสร้างตัว มีคนรัก แต่งงาน และรู้จักใช้เงินทองที่หามาได้นั้นซื้อหาความสุขใส่ตัว ความสุขในที่นี้ปรัชญาจารวากแบ่งออกเป็นหลายระดับ ตั้งแต่สุขหยาบ ๆ เช่นสุขจากการกินดื่มไปจนถึงสุขที่ประณีตเช่นการมีครอบครัวมิตรสหายที่อบอุ่น โดยสรุป ปรัชญาจารวาก ไม่เชื่อเรื่องสวรรค์ที่เราจะได้ไปพบหลังจากตายแล้ว อย่างที่ศาสนาทั้งหลายในอินเดียสอน แต่เชื่อว่าหากจะมีสวรรค์ สวรรค์นั้นก็อยู่ในโลกนี้แหละ เรานั่นเองที่จะเป็นผู้สร้างสวรรค์ให้แก่ตนเอง หาใช่ใครไม่

ศาสนาฮินดู พุทธ และไชนะไม่คิดว่าความสุขทางกายในโลกนี้จะเป็นสิ่งสำคัญ พุทธศาสนาวิจารณ์ว่าจริง ๆ แล้วสิ่งที่เรียกว่าความสุขของมนุษย์นั่นล้วนแล้วแต่แฝงความทุกข์อยู่ด้วยเสมอ ขณะมีความรัก เราอาจคิดว่าชีวิตเป็นสุข แต่วันหนึ่งเมื่อคนที่เรารักต้องแยกทางจากเราไป หรือตายจากเราไป เราจะพบว่าท้ายที่สุดแล้วสิ่งที่เป็นความจริงของชีวิตหาใช่ความสุขไม่ หากแต่คือความทุกข์ต่างหาก พระพุทธเจ้าสอนว่าเราแต่ละคนท้ายที่สุดแล้วก็ต้องเดินทางเข้าหาความตายอย่างโดดเดี่ยวเพียงลำพังทั้งสิ้น ขณะที่เรานอนรอความตายอยู่บนเตียงในโรงพยาบาลนั้น ใคร ๆ ก็ช่วยอะไรเราไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นคนรักเราเช่นสามี ภรรยา ลูก พ่อแม่ หรือมิตรสหาย เราแต่ละคนจะต้องเดินเข้าไปหาความตายที่มืดมิดนั้นเพียงลำพัง เมื่อสัจธรรมของชีวิตเป็นเช่นนี้ สิ่งที่ฉลาดน่าจะได้แก่การเตรียมตัวเดินทางเข้าสู่ความตายอย่างผู้มีปัญญา พุทธศาสนาและศาสนาโดยทั่วไปในอินเดียเชื่อว่าการมีชีวิตอยู่ในโลกนี้เป็นเรื่องชั่วคราว เรายังมีชีวิตที่จะต้องสืบต่อไปอีกยาวนานหลังจากที่เราตายแล้ว พุทธศาสนานิกายวัชรยานของทิเบตกล่าวว่าความตายก็เหมือนช่วงพระอาทิตย์ตก พระอาทิตย์ไม่ได้หายไปไหน แต่รอเวลาที่จะกลับมาอีกครั้ง การมุ่งหาความสุขในโลกนี้จะทำให้เราไม่รู้จักตระเตรียมตัวเพื่อเผชิญหน้าโลกหลังความตาย ในโลกหลังความตายนั้นมีสุขที่ดีกว่าประณีตกว่าสุขในโลกนี้อย่างไม่อาจเทียบกันได้ คนฉลาดคือคนรู้จัดอดเปรี้ยวไว้กินหวาน พวกจารวากนั้นคือพวกไม่รู้จักรอสิ่งดีกว่าที่จะมาถึง

แม้ว่าพุทธศาสนาจะเน้นเรื่องโลกหน้า แต่ก็มีความคิดว่าขณะที่อยู่ในโลกนี้เราก็สามารถมีความสุขได้ในบางระดับ แต่สุขที่พุทธศาสนาสอนไม่ใช่สุขทางกายอย่างที่ปรัชญาจารวากสอน พุทธศาสนาคิดว่าการรู้จักกินดื่มหาความสุขใส่ตัวนั้น สัตว์เดรัจฉานมันก็รู้จักทำเท่าที่สติปัญญาของมันจะเอื้ออำนวย ถ้ามนุษย์เราเกิดมาเพียงเพื่อหาสุขใส่ตัว เราก็คงไม่ประเสริฐกว่าสัตว์ พุทธศาสนาคิดว่าเราควรใช้ชีวิตอย่างผู้ประเสริฐ อะไรทำให้เราเป็นผู้ประเสริฐ คัมภีร์พุทธศาสนาตอบว่าธรรม ธรรมในที่นี้ก็คือการรู้จักใช้ปัญญาไตร่ตรองว่าอะไรคือแก่นสารของความเป็นคน เด็กสาวหรือเด็กหนุ่มที่เอาแต่แต่งตัวและสนใจแต่หน้าตาตัวเอง ว่าจะเป็นที่พึงใจของเพศตรงข้ามหรือไม่ ตามหลักพุทธศาสนายังไม่ถือว่าเข้าใจชีวิต เราอาจจะสนใจตัวเองก็ได้เพราะเรายังเป็นปุถุชน แต่ก็ควรสนใจเรื่องที่ประเทืองสติปัญญาอันไม่เกินกว่าวัยของเราที่จะเข้าใจด้วย นอกจากนี้พุทธศาสนาก็เสนอว่า การศึกษาควรเตรียมเยาวชนให้เป็นผู้รู้จักแยกแยะว่าอะไรคือความจริงความลวงด้วย ยิ่งในโลกสมัยใหม่ที่ระบบการโฆษณาสินค้าพยายามยั่วยุให้เราแยกไม่ออกระหว่างสองสิ่งนี้ การศึกษาชนิดนี้ยิ่งจำเป็นมากขึ้นเป็นเงาตามตัว

สังคมไทยปัจจุบันรับเอาวัฒนธรรมตะวันตกมาทำให้วัฒนธรรมที่อยู่ใกล้ๆกับเรานี้คือวัฒนธรรมอินเดียถูกมองข้ามไป พุทธศาสนาและศาสนาฮินดูนั้นยังมีอิทธิพลต่อวัฒนธรรมไทยอยู่ แม้จะอ่อนกำลังลงไปมาก แต่สิ่งนี้ย่อมสะท้อนให้เห็นว่าวัฒนธรรมอินเดียยังมีรากที่หยั่งลึกพอสมควรในสังคมเรา เมื่อเรารับวัฒนธรรมอินเดียมานั้น เราได้พยายามปรับให้เป็นไทย และเราก็ปรับได้มากทีเดียวดังจะเห็นได้จากการที่พุทธศาสนาอย่างไทยนั้น ต่างไปจากพุทธศาสนาอย่างอินเดียและอย่างลังกาพม่าเป็นต้น การที่เรามีทุนทางวัฒนธรรมที่เชื่อมโยงไปหาอินเดียอยู่นี้ อาจทำให้เป็นเงื่อนไขที่ดีที่เราจะลองพิจารณาศึกษาวัฒนธรรมอินเดียในแง่ใหม่ ๆ บ้าง ประเทศอินเดียนั้นคนไทยไม่น้อยได้ยินชื่อแล้วก็ร้องยี้ แต่เราคงไม่ลืมไปว่าประเทศอินเดียมีกวีที่ได้รางวัลโนเบลมาแล้ว นักวิทยาศาสตร์ของอินเดียก็ได้รางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์มาแล้ว นักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบลคนล่าสุดที่ชื่อ Amartya Sen นั้นก็คนอินเดีย ก่อนหน้านั้นเราอาจไม่รู้ว่านักคณิตศาสตร์คนสำคัญของโลกคนหนึ่งก็เป็นคนอินเดีย ท่านผู้นี้คือรามานุชัน (Ramanujan) ซึ่งตามประวัติเป็นเด็กยากจนไม่ได้เรียนหนังสือมากเพราะครอบครัวยากจนอยู่ในกระท่อมดินหลังเล็ก ๆ ศาสตราจารย์คณิตศาสตร์ชาวอังกฤษบังเอิญไปพบและเห็นแววอัจฉริยะ จึงพาไปเรียนมหาวิทยาลัยที่อังกฤษ แล้วความเป็นอัจฉริยะก็แสดงออกจริง ๆ ท่านผู้นี้ได้เสนอทฤษฎีทางคณิตศาสตร์ที่สำคัญหลายเรื่อง เลข 0 ที่เป็นตัวเลขที่ปฏิวัติความก้าวหน้าทางคณิตศาสตร์ของโลกอย่างขนานใหญ่นั้น ก็มาจากการสร้างสรรค์ของชาวฮินดูโบราณ ตัวเลขในโลกนั้นมีอยู่สองระบบหรือเลขโรมันกับเลขฮินดูอารบิค เลขโรมันไม่มีเลขศูนย์ คณิตศาสตร์ของโรมันจึงไม่ก้าวหน้า พอชาวอาหรับนำเลขศูนย์ของอินเดียไปเผยแพร่ในโลกตะวันตก ก็เกิดการปฏิวัติอย่างใหญ่หลวงในทางคณิตศาสตร์ วิทยาการคอมพิวเตอร์ที่ก้าวหน้ามากในยุคนี้ก็มาจากการมีเลข 0 นั่นเอง ถ้าปราศจากเลขตัวนี้ อะไรๆ ก็คงไม่ก้าวมามากขนาดนี้
การเรียนรู้วัฒนธรรมอินเดียสำหรับคนไทยคงไม่ใช่เพื่อลอกเลียนแบบอินเดีย หรือรับอินเดียมาทั้งหมดโดยไม่มีวิจารณญาณ เพราะถ้าเป็นอย่างนั้น ก็จะไม่ต่างจากการรับวัฒนธรรมตะวันตกมาอย่างไม่พิจารณา อย่างที่เรากำลังวิจารณ์กันมากในปัจจุบัน การศึกษาวัฒนธรรมอินเดีย ควรเน้นที่การดูว่า อะไรคือแก่นสารของความคิดแบบอินเดีย แก่นสารที่ว่านี้แต่ละคนอาจมองเห็นไม่เหมือนกัน แต่ถ้าเรามองเห็น เราก็อาจมองเห็นช่องทางต่อไปว่าเราจะสร้างสิ่งที่เรียกว่า แก่นสารความเป็นไทยได้อย่างไร เราเองควรมีแก่นสารแบบไทย และแก่นสารแบบไทยนี้เองที่จะช่วยให้เรากล่าวได้ว่าเราเป็นชาติอารยะ..
(ขอขอบพระคุณ : บทความจาก เสขิยธรรม www.skyd.org)

คลิกที่นี่เพื่อกลับไปหน้าแรกประเทศอินเดียและพระพิฆเนศ


---------------- อ่านเรื่ององค์เทพเพิ่มเติม ----------------
หน้าแรก-องค์เทพ (สยามคเณศ)
ศาสนาพราหมณ์ ศาสนาฮินดู เทพเจ้าอินเดีย
พระพรหม ท้าวมหาพรหม พระพรหมเอราวัณ ศาลพระพรหม
, พระวิษณุ พระนารายณ์ พระนารายณ์ทรงครุฑ
นารายณ์ทรงสุบรรณ คาถาบูชาพระนารายณ์สิบปาง

, พระศิวะ พระอิศวร , พระราม รามเกียรติ์ รามายณะ ,
พระกฤษณะ ภควัทคีตา มหาภารตะ ,
ครุฑ พระยาครุฑ พญาครุฑ
วิธีไหว้พญาครุท ตำนานพญาครุท บทบูชาพญาครุท
,
พญานาค พระยานาค วิธีบูชาพญานาค การไหว้พญานาค

พระแม่อุมาเทวี เจ้าแม่อุมาเทวี , พระแม่กาลี เจ้าแม่กาลี ,
พระแม่ทุรคา เจ้าแม่ทุรกา , พระตรีมูรติ การบูชาพระตรีมูรติ
พระแม่ลักษมี เจ้าแม่รัศมี พระนางลักษมี พระลักษมี ,
พระแม่สรัสวตี พระสรัสวดี พระแม่สุรัสวตี พระสุรัสวดี ,
พระขันทกุมาร การบูชาพระขันธกุมาร ,
หนุมาน พระหนุมาน องค์หนุมาน การไหว้หนุมาน ,
พระอินทร์ พระอินทร์ทรงช้างเอราวัณ

ท้าวจตุโลกบาล - เทพผู้รักษาประจำทิศ เทพประจำทิศ ,
ท้าวเวสสุวัณ ท้าวเวสสุวรรณ ท้าวกุเวร
พระแม่คงคา แม่น้ำคงคา เมืองพาราณสี ประเทศอินเดีย
, พระแม่ธรณี , พระแม่โพสพ

--------- สถานที่ ศาล เทวาลัย เพื่อกราบไหว้ขอพรองค์เทพ ---------
วัดเทพมณเฑียร วัดเทพมณเทียร , เทวสถานโบสถ์พราหมณ์ เสาชิงช้า
, วัดวิษณุ ยานนาวา , พิพิธภัณฑ์พระพิฆเนศ พิพิธภัณฑ์พระพิฆเณศวร์ เชียงใหม่
,
ศาลพระพิฆเนศห้วยขวาง พระพิฆเณศสี่แยกห้วยขวางรัชดาภิเษก , เสาชิงช้า
,
พระพิฆเนศนครนายก พระพิฆเณศที่ใหญ่ที่สุดในโลก (ปางนั่ง-ปูนปั้น)
,
พระพิฆเนศฉะเชิงเทรา พระพิฆเนศที่ใหญ่ที่สุดในโลก (ปางยืน-สำริด)
วัดพระศรีมหาอุมาเทวี สีลม วัดแขกสีลม นวราตรี งานนวราตรี
เมืองโบราณ สมุทรปราการ , พิพิธภัณฑ์ช้างสามเศียร ช้างเอราวัณ สมุทรปราการ
ช้าง 3 เศียร พิพิธภัณฑ์ช้าง 3 เศียร จังหวัดสมุทรปราการ

- พระพิฆเนศ ฉะเชิงเทรา องค์พระพิฆเณศ วัดสมาน จ.ฉะเชิงเทรา
- พระพิฆเนศวร ฉะเชิงเทรา องค์พระพิฆเนศ พระพรหม พระวิษณุ พระศิวะ ที่วัดสมานรัตนาราม จังหวัดฉะเชิงเทรา
- ศาลท้าวมหาพรหมเอราวัณ พระพรหมเอราวัณ แยกราชประสงค์
- พระพิฆเนศที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ที่อินเดีย อัสตะวินายัก พระพิฆเนศกำเนิดตามธรรมชาติ 8 แห่ง
- รวมรูปองค์เทพ | - รวมสถานที่บูชาองค์เทพ | - รวมความรู้การบูชาองค์เทพ

โครงการ "พันเทวาลัย ล้านศรัทธา"
รวมสถานที่สักการะเทพเจ้าของพราหมณ์ฮินดูทั่วประเทศไทย

ศาลพระพิฆเณศวร์ เทวาลัยพระศิวะ วัดแขก โบสถ์พราหมณ์ เทวสถาน | เทวาลัยพระวิษณุ ศาลพระพรหม วัดแขก พระแม่อุมาเทวี

----------------- เทศกาล งานสำคัญต่างๆ -----------------
- "คเณศจตุรถี" งานแห่พระพิฆเณศวร์ วันคเณศจตุรถี วันประสูติพระพิฆเนศวร์
- "นวราตรี" งานวัดแขก งานแห่พระแม่อุมาเทวี ร่างทรงพระแม่อุมา งานนวราตรี
- "มหาศิวราตรี" เทศกาลมหาศิวาราตรี วันบูชาพระศิวะในงานมหาศิวะราตรี
- "ดีปาวลี" ดีวาลี่ ทีปาวาลี เทศกาลดีปาวาลี งานบูชาพระแม่ลักษมีในงานดีปาวรี
- "พระราชพิธีตรียัมปวาย" งานตรียัมปวาย งานประจำปี เทวสถานโบสถ์พราหมณ์
- โบสถ์พราหมณ์ การเดินทางไปโบสถ์พราหม์ แผนที่โบสถ์พราห์ม
, พระราชพิธีแรกนาขวัญ งานแรกนาขวัญ

[ การบูชาเทพเจ้า ]
- รวมบทสวดมนต์บูชาพระพิฆเนศวร
คาถาบูชาพระพิฆเณศวร์ การไหว้องค์เทพ บูชาเทพ วิธีบูชาองค์เทพ


- ความเข้าใจผิดๆเกี่ยวกับการบูชาเทพ การไหว้เทพฮินดู
- เครื่องหมายโอม...สัญลักษณ์โอม และวิธีการสวดบูชา | - เครื่องหมายสวัสดิกะ...สัญลักษณ์สวัสติกะแห่งพระพิฆเนศ

- สิ่งที่ควรรู้สั้นๆ เกี่ยวกับพระพิฆเนศ การบูชาพระพิฆเณศวร์ | - ตำนานกำเนิดพระพิฆเนศ ประวัติพระพิฆเณศ
- ตำนานว่าด้วยเศียรช้าง งาข้างเดียว และหนูบริวารของพระพิฆเนศ
- ตำนานองค์พระพิฆเนศในเอเชียแปซิฟิก | - ตำนานองค์พระพิฆเนศในประเทศไทย
- พระคเณศ ในฐานะเทพแห่งปัญญาและความรู้ | - พระพิฆเณศในฐานะหัวหน้าบริวารของพระศิวะ
- พรที่พระพิฆเนศได้รับจากมหาเทพ-มหาเทวี | - อานิสงค์จากการบูชาพระพิฆเนศ การขอพรพระพิฆเนศ
- คเณศจตุรถี...วันประสูตรพระพิฆเนศ วันคเนศจตุรถี เทศกาลพระพิฆเนศ งานแห่พระพิฆเณศวัดแขก

- การบูชาพระแม่กาลี (ตามวิธีของ อ.พิทักษ์ โค้ววันชัย สำนักพิมพ์สยามคเณศ)
- บทสรรเสริญพระศิวะ ผู้คืออักขระ 5 ตัว บทสวดพระศิวะมหาเทพ | - พระแม่ลักษมี 8 ปาง การบูชาพระแม่ลักษมี
- พญาครุฑ การบูชาพญาครุฑ องค์พญาครุฑ | - พญานาค การบูชาองค์พญานาค | - ท้าวเวสสุวรรณ ท้าวเวสสุวัณ ท้าวจตุโลกบาล
- รูปพระแม่อุมาเทวี องค์พระแม่อุมาเทวี พระศรีมหาอุมาเทวี การบูชาพระแม่อุมาเทวี | - องค์พระตรีมูรติ การบูชาพระตรีมูรติ
- พระวิษณุ หรือ พระนารายณ์ การบูชาพระวิษณุ องค์พระวิษณุ ปางของพระวิษณุ | - องค์พระแม่ลักษมี รูปพระแม่ลักษมี

- ตำนานพระสีวลี ผู้เป็นเลิศในลาภสักการะ | - พระสีวลีผู้เป็นเลิศในลาภสักการะ | - การบูชาพระสีวลี การขอพรพระสีวลี
- การกำเนิดพระสีวลี โดยการทรงประทานพรของพระพุทธเจ้า | - พระสีวลี หรือ พระสิวลีพระอรหันต์ผู้มีลาภสักการะเป็นที่สุด
- ตำนานพระสีวลี พระสิวลี พระสีวะลี ตำนานกำเนิดพระสีวลี
- พระเกจิ ประวัติพระสงฆ์ หลวงพ่อจรัญ | - การเดินทางไปวัด ขอพรหลวงพ่อ วัดในจังหวัดต่างๆ
- เจ้าแม่กวนอิม องค์เจ้าแม่กวนอิม การบูชาเจ้าแม่กวนอิม พระแม่กวนอิมปางต่างๆ

[ เรื่องร่างทรง ]
เรื่องร่างทรง 1 - เตือนใจเรื่องร่างทรง มารสังคมที่ต้องระวัง (รับขันธ์ ร่างทรง ตำหนักทรง มีองค์ คนมีองค์ องค์เทพ)
เรื่องร่างทรง 2 - คนมีองค์ กับ ร่างทรง ต่างกันอย่างไร ? (รับขันธ์ ร่างทรง ตำหนักทรง มีองค์ คนมีองค์ องค์เทพ)
เรื่องร่างทรง 3 - ร่างทรงกำลังทรงเจ้า หรือกำลังโดนผีสิง ? (รับขันธ์ ร่างทรง ตำหนักทรง มีองค์ คนมีองค์ องค์เทพ)
เรื่องร่างทรง 4 - การรับขันธ์ อันตรายถึงชีวิต! (รับขันธ์ ร่างทรง ตำหนักทรง มีองค์ คนมีองค์ องค์เทพ)
เรื่องร่างทรง 5 - ตอบคำถามร่างทรง (รับขันธ์ ร่างทรง ตำหนักทรง มีองค์ คนมีองค์ การทรงเจ้า องค์เทพ)
เรื่องร่างทรง 6 - ถอนขันธ์ ลาขันธ์ (การรับขันธ์ ร่างทรง ตำหนักทรง มีองค์ คนมีองค์ คนทรงเจ้าองค์เทพ)
เรื่องร่างทรง 7 - รวมข่าวร่างทรงถูกจับ (การรับขันธ์ ร่างทรง ตำหนักทรง มีองค์ คนมีองค์ คนทรงเจ้า องค์เทพ)

[ พระศิวะมหาเทพ ]
1. ตำนานพระศิวะ | 2. รูปลักษณ์ แห่งพระศิวะ วิธีบูชาพระศิวะมหาเทพ  |  3. เมล็ดรุทรักษะ เมล็ดน้ำตาพระศิวะ
4. โคนนทิ พาหนะแห่งพระศิวะ สัตว์ศักดิ์สิทธิ์  |  5. ศิวะนาฏราช พระศิวะร่ายรำ ปางของพระศิวะ
6. ศิวลึงก์ สัญลักษณ์แทนองค์พระศิวะ การบูชาศิวลึงค์  |  7. คาถา บทสวดมนต์ การบูชาพระศิวะ

[ พระประจำวันเกิด , นวนพเคราะห์ ]
พระประจำวันเกิด พระประจำวันอาทิตย์ พระประจำคนเกิดวันอาทิตย์ พระสุริยะเทพ (พระอาทิตย์)
พระประจำวันเกิด พระประจำวันจันทร์ พระประจำคนเกิดวันจันทร์ พระจันทร์ 
พระประจำวันเกิด พระประจำวันอังคาร พระประจำคนเกิดวันอังคาร พระอังคาร ,
พระประจำวันเกิด พระประจำวันพุธ พระประจำคนเกิดวันพุธกลางวัน พระพุธ
พระราหู การไหว้พระราหู วิธีบูชาพระราหู คาถาบูชาพระราหู พระประจำวันเกิด พระประจำคนเกิดวันพุธกลางคืน
พระประจำวันเกิด พระประจำวันพฤหัสบดี พระประจำคนเกิดวันพฤหัสบดี พระพฤหัสบดี
พระประจำวันเกิด พระประจำวันศุกร์ พระศุกร์  , พระประจำวันเสาร์ พระประจำวันเกิด พระเสาร์ , พระเกตุ

รวมโองการเชิญเทพ / บทไหว้ครู / กลอนไหว้ครูของไทย
สำหรับผู้ศรัทธาในเทพทุกระดับชั้น เพื่อการบวงสรวงบูชาเทพในพิธีอันเป็นสิริมงคลต่างๆ
โองการเชิญเทพ - พระราชนิพนธ์ ขอพรพระคเณศ
โองการเชิญเทพ - พระราชนิพนธ์ บทเสมาสามัคคีเสวก
เชิญเทพ โดย ขุนสารประเสริฐ 1
เชิญเทพ โดย ขุนสารประเสริฐ 2
เชิญเทพ โดย ขุนสารประเสริฐ 3
นมัสการเทพ (สามัคคีประเภทคำฉันท์)
เชิญเทพ - กรมพระยาเดชาดิศรฯ 1
เชิญเทพ - กรมพระยาเดชาดิศรฯ 2
เชิญเทพ - ร.6 (เสื้อเมือง หลักเมือง)
เชิญเทพ - รัชกาลที่ 6 (ทวยเทพ)
โองการเชิญเทพ - บวงสรวงท้าวโลกบาล
บทอัญเชิญเทพประจำเมือง



อ.พิทักษ์ โค้ววันชัย
เจ้าของเว็บไซต์สยามคเณศ และ นักเขียนหนังสือองค์เทพ







อ.พิทักษ์ โค้ววันชัย นักเขียนหนังสือการบูชาองค์เทพ
เจ้าของเว็บไซต์สยามคเณศ Siamganesh.com
ผู้เผยแพร่ความรู้ในการบูชาองค์เทพคนสำคัญของไทย

สั่งซื้อหนังสือ คลิกที่นี่




สั่งซื้อหนังสือ คลิกที่นี่









สั่งซื้อหนังสือ
ผลงาน อ.พิทักษ์ โค้ววันชัย
คลิกที่นี่



ติดต่อสยามคเณศได้ที่ siamganesh@gmail.com
Facebook : สยามคเณศดอทคอม
Facebook : มหาบูชา
ขออำนาจแห่งพระคเณศวรโปรดดลบันดาลให้ท่านทั้งหลายล้วนประสบแต่ความสำเร็จในทุกๆประการด้วยเทอญ
สงวนลิขสิทธิ์ SiamGanesh.com, All Rights Reserved.