พระพิฆเณศ
รูปพระพิฆเนศ
อ่านเรื่องเทพเจ้าของพราหมณ์-ฮินดูได้อีกมากมาย!!
ท้าวมหาพรหม รวมบทความพระพรหมเอราวัณ การบูชาพระพรม วิธีการขอพรพระพรหม

"ท้าวมหาพรหม - พระพรหมเอราวัณ"

เทพเจ้าผู้ทรงเปี่ยมด้วยพระเมตตา









การบูชาท้าวมหาพรหม วิธีขอพรท้าวมหาพรหม การขอพรพระพรหม

ประติมากรรม
รูปท่านท้าวมหาพรหมโรงแรมเอราวัณ

ก่อเกิดขึ้นเมื่อปีกึ่งพุทธกาล
ได้กลายเป็นต้นแบบและแรงบันดาลใจ
ของเทวรูปพระพรหมอีกมากมายในสังคมไทย
กิตติศัพท์เกี่ยวกับความศักดิ์สิทธิ์ของท่านท้าวฯ
ได้ทำให้พระพรหมแบบพุทธเป็นเทพที่ครองใจคนไทยยิ่งกว่าเทพองค์ใด ขณะที่พระพรหมแบบพราหมณ์เหลือเพียงอดีตอันรุ่งโรจน์ในสังคมอินเดีย
(ข้อความจากหนังสือ พรหมสี่หน้า สำนักพิมพ์อมรินทร์)

มูลนิธิทุนท่านท้าวมหาพรหมโรงแรมเอราวัณ
ภาพจากเว็บไซต์มูลนิธิทุนท่านท้าวมหาพรหมโรงแรมเอราวัณ http://www.mahaprom.org
ผู้จุดประกายให้กำเนิดท่านท้าวมหาพรหม

พล.ร.ต.หลวงสุวิชานแพทย์ เดิมชื่ออั๋น นามสกุลสุวรรณภาณุ เกิดที่หน้าวัดใหญ่จอดปราสาท จังหวัดสมุทรสาคร ต่อมาได้ย้ายตามครอบครัวมาอยู่ที่ปากคลองตลาด กรุงเทพมหานคร และเข้าศึกษาขั้นต้นที่โรงเรียนวัดราชบุรณราชวรวิหาร (วัดเลียบ) เชิงสะพานสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ และโรงเรียนมัธยมที่สวนกุหลาบวิทยาลัย แล้วเข้าเรียนแพทย์ที่ศิริราชพยาบาลจนจบ

ต่อมาได้บวชเป็นพระภิกษุที่วัดราชบุรณะ พร้อมกับเรียนวิปัสสนากับหลวงปู่โต๊ะ (วัดเลียบ) จนได้วิชากรรมฐานขั้นสูง เมื่อลาอุปสมบทแล้วได้เข้ารับราชการเป็นแพทย์ทหารเรือประจำการที่ฐานทัพเรือสัตหีบและที่กรมแพทย์ทหารเรือ มีความก้าวหน้าในหน้าที่ราชการเป็นลำดับ กระทั่งได้รับยศเป็น พล.ร.ต.หลวงสุวิชานแพทย์

ระหว่างที่ท่านรับราชการอยู่นี้ ท่านได้ศึกษาวิปัสสนาเพิ่มเติมกับอาจารย์หลายองค์ เช่น หลวงพ่ออี๋ (วัดสัตหีบ) หลวงพ่อสด (วัดปากน้ำภาษีเจริญ) หลวงพ่อจง (วัดหน้าต่างนอก) หลวงพ่อปาน (วัดบางนมโค) ซึ่งต่อมาท่านได้ใช้วิชาวิปัสสนาญาณที่ท่านได้ศึกษามานี้ ช่วยเหลือผู้ที่มีปัญหาเดือดร้อนด้วยการตรวจดวงชะตาหรือลักษณะบ้านเรือน พร้อมทั้งแนะนำวิธีการเพื่อแก้ไขเคราะห์ร้ายให้กลับกลายเป็นดี

การช่วยเหลือดังกล่าวท่านไม่รับเงิน ให้มีเพียงแต่ดอกไม้ ธูป เทียน บูชาครูเท่านั้น ท่านช่วยเหลือโดยไม่เลือกชั้นวรรณะ ผู้ที่จะมาพบท่านทุกคนไม่ว่ายากดีมีจน ต้องถือบัตรคิวและเข้าพบท่านได้ตามคิว ซึ่งท่านก็ช่วยเหลือด้วยเมตตาจิตอย่างเท่าเทียมเสมอกันทุกคน

ตัดตอนจากบทความเรื่อง "ก่อนจะมาเป็นศาลท่านท้าวมหาพรหม" โดยศิษย์อาจารย์หลวงสุวิชานแพทย์ (อรุณ ลันธนาภรณ์) ในสยามรัฐสัปดาหวิจารณ์ ปีที่ 52 ฉบับที่ 51


ท้าวมหาพรหมเอราวัณ

ถ้ากล่าวถึง "ศาลท่านท้าวมหาพรหม โรงแรมเอราวัณ" เชื่อว่าหลายท่านคงรู้จักเป็นอย่างดี ไม่เพียงเทวสถานแห่งนี้จะตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่บริเวณสี่แยกราชประสงค์ ใกล้โรงแรมเอราวัณที่ใหญ่โตโอ่อ่าแล้ว ยังเป็นที่เคารพสักการะทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศที่ลงทุนข้ามแผ่นฟ้ามหาสมุทรมาแสดงความศรัทธาต่อ ท่านท้าวมหาพรหม ณ ที่แห่งนี้ ผู้คนหลั่งไหลเข้ามาสักการะท่านท้าวมหาพรหมนับวันจะมีมากขึ้น ทั้งนี้เป็นเพราะความศรัทธาในบารมี ของท่านที่แผ่เมตตา ปกปักคุ้มครองให้ร่มเย็นเป็นสุข และเป็นที่ยึดเหนี่ยวทางใจของผู้คนทั้งหลาย เมื่อยามที่ได้กราบไหว้บูชาแล้วทำให้รู้สึกสบายใจ ร่มเย็นเป็นสุข

ตามความเชื่อแบบพราหมณ์ "พระพรหม" ถือเป็นหนึ่งในสามของพระเป็นเจ้าที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์ เรียกรวมกันว่า "ตรีมูรติ" ได้แก่ พระอิศวร (ศิวะ) พระพรหม และพระวิษณุ (นารายณ์) ซึ่งถือกันว่าเป็นพระผู้สร้างสรรค์สิ่งทั้งปวง ได้แก่ โลก สวรรค์ และมนุษย์ ในขณะที่พระวิษณุ (นารายณ์) เป็นผู้รักษาดูแลและมีพระอิศวร (ศิวะ) เป็นผู้ทำลาย

พระพรหมที่ประดิษฐานไว้บริเวณ "ศาลท่านท้าวมหาพรหม โรงแรมเอราวัณ" ลักษณะกายสีแดง สี่พักตร์ แปดกร ในแต่ละกรทรงอาวุธที่แตกต่างกันออกไป อาทิ แว่นแก้ว คฑา จักร สายประคำ ธารพระกรไม้เท้า ช้อน หม้อน้ำ คัมภีร์พระเวท ทรงหงส์เป็นพาหนะ และมี "พระสุรัสวดี" หรือ "พระสรัสวดี" เป็นพระมเหสี ที่สถิตของพระพรหมเรียกกันว่า "พรหมพฤนทา" อยู่ในพรหมโลก ว่ากันว่าอยู่เหนือชั้นสวรรค์ขึ้นไปอีก พระพรหมยังถูกแบ่ง ประเภทออกเป็นรูปพรหม และอรูปพรหม พรหมที่เรียกว่า "รูปพรหม" มีถึง ๑๖ ชั้นได้แก่ พรหมปาริชชาภูมิ พรหมปโรหิตาภูมิ มหาพรหมาภูมิ เป็นต้น ซึ่งพรหมทั้ง ๑๖ ชั้นนี้กล่าวกันว่าพระองค์ทรงประทับนิ่งไม่เคลื่อนไหวแต่อย่างใดเรียกว่านั่งเข้า "ฌาน" ส่วนชั้นที่อยู่สูงขึ้นไปอีกเป็นชั้นของ "อรูปพรหม" เป็นพรหมที่ไม่มีรูป มีแต่จิต มีทั้งหมด ๘ ชั้น อาทิ อากาสายัญจายตน วิญญาณัญจายตน อากิญตจัญญายตน และเนวสัญญานายตน พรหมทั้งสี่ชั้นนี้จัดเป็นพลังงานชั้นสูงที่มีความบริสุทธิ์อย่างยิ่ง อำนาจแห่งองค์พรหม จัดเป็นอำนาจที่ยิ่งใหญ่จนหลายคนกล่าวว่าชีวิตนั้นคือ "พรหมลิขิต" ดังนี้เองจึงทำให้คนหลายคนที่เชื่อว่าดวงชะตาความเป็นอยู่ของตัวเรานั้นมีความเกี่ยวเนื่องอยู่กับองคพรหม

ศาลท่านท้าวมหาพรหม โรงแรมเอราวัณแห่งนี้เป็นที่ประดิษฐานของ "ท่านท้าวมหาพรหม" ซึ่งอยู่ในรูปพรหมส่วนชั้นไหนนั้นต้องขออภัยเพราะยังไม่มีข้อมูล ส่วนศาลแห่งนี้ตั้งมาเป็นเวลานับ ๔๐ กว่าปี และพลังแห่งความศรัทธาของเหล่าสาธุชนที่แวะเวียนมานมัสการพระพรหมได้ร่วมบริจาคเงินเพื่อการกุศลเป็นจำนวนมาก จึงได้เกิด "มูลนิธิทุนท่านท้าวมหาพรหม" ขึ้นมา ซึ่ง "ศรีสล้าง สุขสมสถาน" กรรมการผู้จัดการและเลขานุการมูลนิธิฯ เผยว่า

"ย้อนกลับไปเมื่อประมาณปี พ.ศ.๒๔๙๖ ได้เริ่มก่อสร้างโรงแรมเอราวัณขึ้น และในปลายปี พ.ศ. ๒๔๙๙ ได้ให้ "พลเรือตรีหลวงสุวิชานแพทย์" ผู้เชี่ยวชาญด้านโหราศาสตร์ ดูฤกษ์วันเปิดกิจการและ ได้ให้คำแนะนำว่าฤกษ์วางศิลาฤกษ์นั้นกระทำไม่ถูกต้อง จะต้องสร้างศาลพระพรหมและศาลพระภูมิไว้ ซึ่งองค์พระพรหมที่ประดิษฐานอยู่นี้ได้รับการออกแบบ และการปั้นตามแบบแผนของกรมศิลปากรจาก "จิตร พิมพ์โกวิท" ช่างกองหัตถศิลป์ กรมศิลปากร ส่วนผู้ที่ออกแบบศาลคือ "เจือระวี ชมเสวี" และ "หม่อมหลวงปุ่ม มาลากุล เมื่อก่อนสถานที่แห่งนี้มีคนกราบไหว้ไม่มากนัก คงเป็นเพราะคนที่มากราบไหว้อาจจะขอให้ท่านช่วย แล้วเกิดประสบความสำเร็จเลยมีการเล่าไปแบบปากต่อปาก ไปทำให้ทุกวันนี้มีคนเข้ามาสักการะบูชากันมากขึ้น ทางโรงแรมเอราวัณเริ่มดำเนินการเมื่อวันที่ ๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๙๙ และได้ถือเอาวันดังกล่าวเป็นวันบวงสรวงในทุกปี โดยการทำพิธีบวงสรวงจะมีพราหมณ์หลวงเป็นผู้ประกอบพิธีให้" กรรมการผู้จัดการมูลนิธิฯ กล่าวและว่า

"แต่เดิมได้ตั้งตู้รับบริจาคไว้ในศาลเพื่อนำเงินที่ได้รับจากการทำกุศลของผู้มีจิตศรัทธามาบูรณะเทวสถาน กระทั่งต่อมาจำนวนเงินบริจาคได้เพิ่มมากขึ้น จนผู้บริหารคิดว่าจะนำเงินส่วนนี้ไปทำประโยชน์ โดยบริจาคให้ทางโรงพยาบาลเพื่อจัดซื้ออุปกรณ์การแพทย์หรือช่วยสาธารณภัย น้ำท่วม เป็นต้น โดยทางมูลนิธิฯ จะไม่จัดทำรูปสักการะจำลอง วัตถุมงคลใด ๆ หรือทำการค้าไปในเชิงพาณิชย์เลย มีเพียงรูปถ่ายท่านท้าวมหาพรหมที่จัดทำเพื่อให้คนที่ เคารพนำไปสักการะบูชา และในบริเวณศาล ทางมูลนิธิฯ จะเป็นผู้ดูแลจัดการในการเช่าพื้นที่ให้ด้วย"

ภายในบริเวณ "ศาลท่านท้าวมหาพรหม" โดยรอบจะเห็นร้านค้าขายพวงมาลัย เครื่องสักการะบูชา ขันน้ำมนต์ใบโตและการแสดงละครรำที่จัดทุกวัน เพื่อเป็นการแก้บนของผู้ที่เคยมากราบไหว้ขอพร และในวันที่เข้าไปสัมภาษณ์ ได้มีโอกาสพูดคุยกับคุณ "ชูเกียรติ แก้วฟ้าเจริญ" ผู้จัดการดูแลคณะละครรำ ซึ่งเผยเกี่ยวกับการทำคณะละคร "จงกลนาฏศิลป์" ของเขาว่า "คณะละครจงกล แต่เดิมเป็นของคุณแม่ แต่ปัจจุบันผมเป็นคนดูแลจัดการ เริ่ม มาตั้งคณะละครรำที่ศาลท่านท้าวมหาพรหมตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๐๙ โดยทุกอย่างอยู่ในความดูแลของทางมูลนิธิฯ คณะละครรำที่เล่นที่นี่มี ๓ คณะด้วยกันสับเปลี่ยนกัน ได้แก่ คณะจงกลนาฏศิลป์ ดำรงนาฏศิลป์ และคณะละม่อม ในหนึ่งวันจะเข้า ๒ คณะ ซึ่งแต่ละคณะจะทำงาน ๒ วัน หยุด ๑ วัน ศาลท่านท้าวมหาพรหมนี้เริ่มเปิดให้เข้าสักการะตั้งแต่เวลา ๐๘.๐๐ น. - ๒๒.๓๐ น. ทุกวัน ในการแสดงละครรำจะแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับเจ้าภาพว่าจะขอแก้บน หรือว่าจะรำถวาย เนื้อร้องก็จะไม่เหมือนกัน ถ้าแก้บนก็จะร้องแบบแก้บน ถ้าไม่ได้แก้บนก็ร้องอีกแบบหนึ่งในแบบถวาย เพลงที่รำจะสลับสับเปลี่ยนกันไป นอกจากเจ้าภาพจะขอเพลงเช่น กฤษดาอภินิหาร เทพบันเทิง ไกรลาสสำเริง ฟ้อนมาลัย ระบำดอกบัว เป็นต้น สมัยก่อนรำละคร รำชาตรีแก้บน ยังไม่มีการเอาเพลงพวกนี้เข้าบรรจุ เพลงพวกนี้เราเอามาจากกรมศิลปากร ภายหลังได้มีการดัดแปลงใส่เป็นเพลง ส่วนใหญ่ผู้ที่เข้ามามักเป็นชาวต่างชาติเยอะประมาณ ๖๐ % สำหรับที่ศาลแห่งนี้แล้วจะมีคนเข้ามากราบไหว้ทุกวันไม่เคยขาดเลย เมื่อมาที่นี่ จะได้เห็นคนทุกกลุ่มไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ ชาติไหนมีหมดครับ" คุณชูเกียรติ ผู้จัดการคณะละครจงกลนาฏศิลป์กล่าว

นอกจากศาลท่านท้าวมหาพรหมแห่งนี้จะเป็นที่ประดิษฐานของ "พระพรหม" พระผู้มีความเมตตา กรุณา ต่อมนุษย์อย่างสูงส่งจนทำให้ความศักดิ์สิทธิ์ของศาลเล็ก ๆ อย่าง "ศาลท่านท้าวมหาพรหม" ได้ขจรขจายไปไกลถึงต่างบ้านต่างเมือง เนื่องจากความเคารพศรัทธาที่มีต่อพระพรหมเอาราวัณ และความเชื่อถือที่ว่า "เมื่อขอพรสิ่งใดไป จะได้พระนั้นสมความปรารถนา" ทำให้ไม่ว่าจะเป็นชาวจีน ไทย ฝรั่ง แขก ต่างพากันมานมัสการท่านอย่างเนืองแน่น เป็นประจำตลอดระยะเวลายาวนานหลายสิบปี ความสำคัญไม่ได้อยู่ที่การสมหวังในการขอพรจากพระพรหมเพียงอย่างเดียว แต่เป็นเรื่องของการเคารพศรัทธาต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของท่าน แล้วความศรัทธาและความเชื่อมั่นนั้นทำให้ท่านพานพบ กับความสุข สบายใจ และไม่ทำให้ใครต้องเดือดร้อน สิ่งนั้นก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายแต่อย่างใด......

บทความเรื่อง "ท่านท้าวมหาพรหมเอราวัณ" นี้
ได้รับความอนุเคราะห์ข้อมูลจากนิตยสาร "บูรพาปาฏิหาริย์" ปีที่ ๑ ฉบับที่ ๒๒ ปักษ์แรก เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๖

บรรยากาศภายในศาลท้าวมหาพรหมเอราวัณ ราชประสงค์
รูปภาพศาลพระพรหมเอราวัณ สี่แยกราชประสงค์
(ภาพจากวิกิพีเดีย)


ผู้คนมากราบไหว้บูชาท้าวมหาพรหม พระพรหมเอราวรรณ

ศาลท่านท้าวมหาพรหม
บทความจาก วิกิพีเดีย

ศาลท่านท้าวมหาพรหม โรงแรมเอราวัณ เป็นศาลศาสนาฮินดูตั้งอยู่หน้าโรงแรมแกรนด์ ไฮแอท เอราวัณ บริเวณสี่แยกราชประสงค์ ถนนราชดำริ แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นที่เคารพนับถือจากทั้งชาวไทยและต่างประเทศ โดยมีการจัดคณะทัวร์จากต่างประเทศเพื่อเข้ามาสักการะท้าวมหาพรหมโดยเฉพาะ เมื่อวันที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2549 เกิดเหตุชายคนหนึ่งใช้ค้อนทุบทำลายศาลดังกล่าวและถูกทุบตีจนเสียชีวิตโดยผู้เห็นเหตุการณ์

เมื่อ พ.ศ. 2494 พลตำรวจเอกเผ่า ศรียานนท์ กำหนดให้มีการก่อสร้างโรงแรมเอราวัณ ขึ้นบริเวณสี่แยกราชประสงค์ เพื่อรองรับแขกต่างประเทศ ว่ากันว่าในช่วงแรกของการก่อสร้างเกิดอุบัติเหตุขึ้นมากมาย เมื่อการก่อสร้างใกล้แล้วเสร็จ ปลายปี พ.ศ. 2499 ทาง บริษัท สหโรงแรมไทยและการท่องเที่ยว จำกัด ผู้บริหารโรงแรมได้ติดต่อ พลเรือตรีหลวงสุวิชานแพทย์ ร.น. นายแพทย์ใหญ่ กองทัพเรือ ผู้ทรงคุณวุฒิในเรื่องการนั่งทางใน เข้าดำเนินการหาฤกษ์วันเปิดโรงแรม

พลเรือตรีหลวงสุวิชานแพทย์ได้ท้วงติงว่า ในการก่อสร้างโรงแรมไม่ได้มีการทำพิธีบอกกล่าวสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในบริเวณนั้นก่อน ฤกษ์ในการวางศิลาฤกษ์ของโรงแรมก็ไม่ถูกต้อง อีกทั้งชื่อของโรงแรม "เอราวัณ" นั้น เป็นชื่อของช้างทรงของพระอินทร์ ถือเป็นชื่อที่ศักดิ์สิทธิ์ จำเป็นต้องมีการบวงสรวงที่เหมาะสม วิธีการแก้ไขจะต้องขอพรจากพระพรหมเพื่อช่วยให้อุปสรรคหมดไป และจะต้องสร้างศาลพระพรหมขึ้นทันทีหลังจากการก่อสร้างโรงแรมแล้วเสร็จ และสร้างศาลพระภูมิขึ้นไว้ในโรงแรม

จึงได้มีการตั้งศาลพระพรหม ออกแบบตัวศาลโดยนายระวี ชมเสรี และ ม.ล.ปุ่ม มาลากุล องค์ท้าวมหาพรหมปั้นด้วยปูนพลาสเตอร์ปิดทอง ออกแบบและปั้นโดยนายจิตร พิมพ์โกวิท ช่างกองหัตถศิลป์ กรมศิลปากร และอัญเชิญพระพรหมมาประดิษฐานที่หน้าโรงแรมเอราวัณเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2499

ตามแผนงานครั้งแรก องค์ท้าวมหาพรหมจะเป็นโลหะหล่อสีทอง แต่เนื่องจากระยะเวลาจำกัดด้วยฤกษ์การเปิดโรงแรม จึงได้เปลี่ยนวัสดุเป็นปูนปั้นปิดทองแทน

ศาลท่านท้าวมหาพรหม โรงแรมเอราวัณ ถือเป็นศาลพระพรหมศาลแรกที่มีขนาดใหญ่ ในเวลาต่อมาเมื่อมีการสร้างศาลพระพรหมไว้บูชาในอาคารหรือสถานที่ขนาดใหญ่ จะยึดแบบการสร้างจากศาลท้าวมหาพรหมที่โรงแรมเอราวัณ เนื่องจากความเชื่อว่าจะช่วยปัดเป่าความขัดข้อง อุปสรรค และส่งเสริมโชคและความสำเร็จ

ปัจจุบัน ศาลท่านท้าวมหาพรหม โรงแรมเอราวัณ อยู่ในความดูแลของ "มูลนิธิทุนท่านท้าวมหาพรหม"

ด้วยเหตุที่ท่านท้าวมหาพรหมถูกชายที่ไม่สมประกอบทุบในวันที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2549 ซึ่งทำให้ตัวองค์แตก ดังนั้นจึงมีกำหนดการที่จะบูรณะพระองค์ขึ้นมาใหม่ พร้อมกับสร้างองค์ใหม่ด้วย แล้วเสร็จในปลายเดือนพฤษภาคม ปีเดียวกัน



พลิกปูมหลัง 49 ปี ศาลท้าวมหาพรหมเอราวัณ
บทความจาก เดลินิวส์

สร้างความตกตะลึงให้กับคนไทยทั้งประเทศและชาวต่างชาติที่นับถือ “ท้าวมหาพรหมเอราวัณ” กลางสี่แยกราชประสงค์ ใจกลางเมืองหลวง เมื่อหนุ่มสติไม่ดี “นายธนกร ภักดีผล” อายุ 27 ปี ควงค้อนบุกเข้ามาในบริเวณศาลท้าวมหาพรหมเอราวัณ แล้วกระโดดขึ้นคร่อมองค์ท้าวพระพรหมฯ ก่อนจะใช้ค้อนทุบองค์ท้าวพระพรหมฯแหลกละเอียดเละเกือบทั้งองค์ เหลือเพียงส่วนหัวเข่าที่ติดกับฐานเท่านั้น

เมื่อก่อเหตุแล้วนายธนกร พยายามวิ่งหลบหนีแต่ถูกกลุ่มพ่อค้าแม่ค้าและผู้ที่อยู่ในบริเวณนั้น ช่วยกันจับกุมตัวพร้อมกับมีการลงมือทำร้ายร่างกายนายธนกร จนบอบช้ำสาหัสและเสียชีวิตในที่สุด ท่ามกลางความรู้สึกหดหู่ใจของคนที่ทราบข่าว ผู้ที่เลื่อมใสศรัทธาท้าวพระพรหมฯและประชาชนทั่วไปเป็นอย่างยิ่ง

สำหรับพระพรหมตามความเชื่อแบบพราหมณ์ ถือเป็น 1 ใน 3 ของพระเป็นเจ้าที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์ เรียกรวมกันว่า “ตรีมูรติ” ได้แก่ พระอิศวร (ศิวะ) พระพรหม และพระวิษณุ (นารายณ์) โดยพระพรหม เชื่อกันว่าเป็นพระผู้สร้างสรรค์สิ่งทั้งปวง ได้แก่ โลก สวรรค์ และมนุษย์ ในขณะที่พระวิษณุ เป็นผู้รักษาดูแล และพระอิศวร เป็นผู้ทำลาย

พระพรหมยังถูกแบ่ง ประเภทออกเป็นรูปพรหม และอรูปพรหม พรหมที่เรียกว่ารูปพรหมมีถึง 16 ชั้น แต่ละองค์จะทรงประทับนิ่งไม่เคลื่อนไหวแต่อย่างใดเรียกว่านั่งเข้าฌาน ส่วนชั้นที่อยู่สูงขึ้นไปอีกเป็นชั้นของอรูปพรหมเป็นพรหมที่ไม่มีรูป มีแต่จิต มีทั้งหมด 8 ชั้น จัดเป็นพลังงานชั้นสูงที่มีความบริสุทธิ์อย่างยิ่ง อำนาจแห่งองค์พรหม จัดเป็นอำนาจที่ยิ่งใหญ่จนหลายคนกล่าวว่าชีวิตนั้นคือ “พรหมลิขิต” ดังนี้ทำให้คนหลายคนที่เชื่อว่าดวงชะตาความเป็นอยู่ของตัวเรานั้นมีความเกี่ยวเนื่องอยู่กับองค์พระพรหม

สำหรับท้าวมหาพรหม โรงแรมเอราวัณ นั้น ถูกอันเชิญมาประดิษฐสถาน ณ ศาลท่านท้าวมหาพรหม โรงแรมเอราวัณ เมื่อวันที่ 9 พ.ย. 2499 โดยบริษัทสหโรงแรมไทยและการท่องเที่ยว จำกัด เจ้าของโรงแรมเอราวัณ เนื่องจากพลเรือตรีหลวงสุวิชาญแพทย์ ผู้เชี่ยวชาญด้านโหราศาสตร์ ได้ท้วงติงทางโรงแรมว่าการวางศิลาฤกษ์ของโรงแรมทำไว้ไม่ถูกต้อง ต้องแก้ไขด้วยการสร้างศาลท้าวมหาพรหมและศาลพระภูมิขึ้นมาไว้ในบริเวณโรงแรม ทำให้ทีมบริหารของโรงแรมตัดสินใจก่อสร้างศาลท้าวมหาพรหมขึ้นมาดังกล่าว

พระพรหมที่ประดิษฐานไว้บริเวณ “ศาลท่านท้าวมหาพรหม โรงแรมเอราวัณ” มีลักษณะกายสีแดง สี่พักตร์ แปดกร ในแต่ละกรทรงอาวุธที่แตกต่างกันออกไป อาทิ แว่นแก้ว คฑา จักร สายประคำ ธารพระกรไม้เท้า ช้อน หม้อน้ำ คัมภีร์พระเวท ทรงหงส์เป็นพาหนะ และมีพระสุรัสวดีหรือพระสรัสวดีเป็นพระมเหสี ที่สถิตของพระพรหมเรียกกันว่า "พรหมพฤนทา" อยู่ในพรหมโลก ว่ากันว่าอยู่เหนือชั้นสวรรค์ขึ้นไปอีก โดยองค์พระพรหมได้รับการออกแบบ และการปั้นตามแบบแผนของกรมศิลปากรจาก นายจิตร พิมพ์โกวิท ช่างกองหัตถศิลป์ ส่วนผู้ที่ออกแบบศาลคือ นายเจือระวี ชมเสวี และ หม่อมหลวงปุ่ม มาลากุล

ในช่วงแรกที่มีการตั้งศาลท่านท้าวมหาพรหมนั้น มีประชาชนมากราบไหว้สักการะไม่มากนัก ส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มผู้บริหาร เจ้าหน้าที่และแขกของโรงแรม แต่เมื่อมีคนมากราบไหว้สักการะขอพรจากองค์ท้าวมหาพรหมแล้วได้พรดังสมปรารถนา ทำให้คนที่ทราบข่าวคราวถึงความศักดิ์สิทธิ์ขององค์ท้าวมหาพรหม ก็แห่กันมากราบไหว้สักการะพร้อมกับมีการแก้บนกันด้วย

ด้วยเหตุนี้เองทำให้ศาลท่านท้าวมหาพรหม โรงแรมเอราวัณ เป็นที่รู้จักทั้งของคนไทยและนักท่องเที่ยวต่างชาติ มีการแวะเวียนมากราบไหว้กันอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย พร้อมทั้งถวายเครื่องสักการะบูชา เครื่องเซ่นเครื่องสังเวย พวงมาลัย ดอกไม้ ธูปเทียน ช้าง ม้า ผ้าแพรพรรณ ละคร ระบำ รำฟ้อน ฯลฯ ตามแต่คนๆนั้นจะอธิฐานหรือบนบานศาลกล่าวสิ่งใดไว้ โดยส่วนใหญ่เมื่อใครได้พรสมดังปรารถนาแล้วก็จะมาทำการแก้บนที่ศาลทุกครั้ง

หลังจากที่มีแรงศรัทธาจากประชาชนทุกหมู่เหล่าทุกเชื้อชาติทุกศาสนา ทำให้มีการตั้งมูลนิธิทุนท่านท้าวมหาพรหมขึ้น เพื่อดูแลศาลและผลประโยชน์ต่างๆ ที่จะตามมาในภายหลัง โดยมูลนิธิฯได้นำรายได้จากแรงศรัทธาของประชาชนคืนให้กับสังคมในรูปแบบต่างๆ ทั้งความช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยาก ช่วยเหลืออุปกรณ์ทางการแพทย์ตามโรงพยาบาลต่างๆที่ขาดแคลน ฯลฯ ซึ่งมีคนเคยคาดคะเนกันว่าในแต่ละปีทางมูลนิธิฯมีรายได้จากแรงศรัทธาของประชาชนไม่ต่ำกว่าร้อยล้านบาท

ทั้งนี้หลังจากเกิดเหตุไม่คาดฝันเกิดขึ้นแล้ว ทุกฝ่ายได้ร่วมมือกันเพื่อที่จะนำเอาสิ่งที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของคนไทยและชาวต่างชาติ ให้หวนกลับคืนมาอีกครั้ง โดยนายสุรเกียรติ เสถียรไทย รองนายกรัฐมนตรี เป็นผู้รับผิดชอบ และมีนายอารักษ์ สังหิตกุล อธิบดีกรมศิลปากร เป็นผู้ดำเนินการ โดยนายอารักษ์ ระบุว่าจะสามารถหล่อองค์ท้าวมหาพรหมองค์ใหม่เสร็จภายใน 2 เดือน ส่วนช่วงเวลาต่อจากนี้จะมีการนำภาพของท่าท้าวมหาพรหมติดทั้งสี่ด้านของศาล เพื่อให้ประชาชนได้กราบไหว้สักการะไปก่อนระหว่างที่รอการสร้างองค์ใหม่

สำหรับความรู้สึกของประชาชนคนไทยที่ทราบข่าวท้าวหมาพรหมถูกทุบจนแหลกละเอียดนั้น ทุกความรู้สึกทุกความเห็นต่างรู้สึกหดหู่ใจกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น พร้อมกับตีความไปต่างๆนานา

บางกลุ่มได้เอาเข้าไปเกี่ยวโยงกับความวุ่นวายในบ้านเมืองขณะนี้ด้วย บางกลุ่มอยากให้มีการบูรณะองค์ท้าวมหาพรหมอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตามเรื่องแบบนี้ไม่มีใครอยากจะให้เกิดขึ้น แต่เมื่อเกิดขึ้นแล้วคนที่รับผิดชอบ คนที่เกี่ยวข้อง ต้องเข้ามาดูแลอย่างจริงจัง เพราะศาลท้าวมหาพรหม เป็นสิ่งที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของประชาชนที่มีระยะเวลาสืบมานานกว่า 49 ปีแล้ว


พระพรหมผู้สร้างโลก ท้าวมหาพรหม การบูชาพระพรหม

ท้าวมหาพรหม ศรัทธาที่ยังไม่เสื่อมคลาย

ผ่านไปกว่า 1 ปีแล้ว สำหรับเหตุการณ์สะเทือนใจประชาชนอย่าง กรณีที่พระพรหมเอราวัณถูกชายสติไม่ดีใช้ค้อนทุบจนแตกละเอียด เป็นเหตุให้ชายคนดังกล่าวถูกรุมประชาทัณฑ์จนเสียชีวิต

ย้อนกลับไปเมื่อกลางดึกในคืนวันที่ 21 มีนาคม 2549 นายธนากร หรืออามีน ภักดีผล อายุ 26 ปี นับถือศาสนาอิสลาม มีอาการป่วยทางประสาท ได้บุกปีนรั้วเข้าไปในศาลท้าวมหาพรหม ดึงค้อนที่เหน็บเอวขึ้นกระหน่ำตีองค์เทวรูปจนแตกกระจายต่อหน้าต่อตาผู้ที่ยืนสักการะอยู่ด้านนอกจำนวนมาก ก่อนจะวิ่งปีนรั้วหนี ชาวบ้านที่เห็นเหตุการณ์ได้วิ่งตามไปช่วยกันล็อกตัวบริเวณหน้าโรงแรม กระทั่งเกิดการชุลมุนรุมประชาทัณฑ์หนุ่มเสียสตินิรนามรายนี้จนเสียชีวิตคาที่

หลังเกิดเหตุฝ่ายสืบสวน สน.ลุมพินี สามารถจับกุมนายศักดิ์ศรี กลิ่นบัว อายุ 27 ปี และนายเกษมศรี การุณวงษ์ อายุ 42 ปี พนักงานรักษาความสะอาดของสำนักงานเขตปทุมวัน ที่ร่วมกันรุมประชาทัณฑ์นายธนากรจนเสียชีวิต

ต่อมา วันที่ 22 มีนาคม 2549 รัฐบาลโดยนายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย รองนายกรัฐมนตรี ประธานคณะกรรมการประสานการบูรณปฏิสังขรณ์ ร่วมกับมูลนิธิทุนท่านท้าวมหาพรหม โรงแรมแกรนด์ ไฮแอท เอราวัณ มีมติให้สร้าง “พระพรหม” องค์ใหม่ขึ้นมาทดแทนองค์เดิม โดยมอบหมายให้กองช่างสิบหมู่ กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม รับไปดำเนินการ กระทั่งการสร้างพระพรหมองค์ใหม่แล้วเสร็จ และมีกำหนดการพิธีอัญเชิญ และสมโภชองค์ท้าวมหาพรหม ในวันที่ 21 พฤษภาคม 2549

ถึงวันนี้ ท้าวมหาพรหมองค์ใหม่ได้ถูกอัญเชิญและสมโภชมาเป็นเวลาเกือบหนึ่งปีแล้ว แต่ความรู้สึกของผู้ที่ทำมาค้าขายอยู่ในบริเวณนั้นและความรู้สึกของประชาชนผู้มาสักการบูชาองค์ท้าวมหาพรหมเป็นอย่างไร เปลี่ยนแปลงไปหรือไม่ ยังคงศรัทธาต่อองค์ท้าวมหาพรหมองค์ใหม่เหมือนที่ศรัทธาต่อองค์เก่าไหม โดยมากมักมาขอพรอะไรจากองค์ท่าน และคดีมีความคืบหน้าไปถึงไหนแล้ว คงเป็นคำถามที่ค้างคาใจของใครหลายคน

นายประโพ ปราทาน อายุ 45 ปี พ่อค้าขายของบูชาภายในบริเวณศาลท่านท้าวมหาพรหม เล่าว่า รู้สึกไม่ดีกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น นับตั้งแต่องค์พระพรหมถูกทำลาย จนถึงช่วงบูรณะปฏิสังขรณ์ ผู้คนที่มาสักการะบูชาก็ลดน้อยลงไปกว่า 80 % ทำให้รายได้ของตนลดลงตามไปด้วย เพราะผู้คนส่วนมากมักจะคิดว่า รอให้องค์ท่านกลับมาก่อน แล้วค่อยมากราบไหว้ แต่เมื่อได้อัญเชิญองค์ท่านกลับมาประดิษฐาน ณ ศาลท้าวมหาพรหม ทุกอย่างก็กลับมาเป็นปกติ เหล่าสาธุชนผู้ที่ศรัทธาต่อองค์พระพรหมก็ยังคงเดินทางมาสักการะกราบไหว้บูชาเหมือนตอนก่อนเกิดเหตุการณ์อันน่าสลดใจ

นายประโพยังเล่าอีกว่า องค์พระพรหมสามารถขอพรได้ทุกอย่าง แต่ไม่ใช่ว่าจะได้ทุกคน โดยมากผู้คนที่มากราบไหว้มักขอพรในเรื่องการเงินเรื่องการงาน แต่ถ้าเป็นช่วงสอบเอนทรานซ์ก็จะเป็นเรื่องการเรียน

นางสมจิตร หร่ายมณี อายุ 52 ปี แม่ค้าขายนกให้ผู้มาทำบุญ เล่าว่า ตนเองไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์วันนั้น เนื่องจากเป็นวันจันทร์ ซึ่งเป็นวันหยุด และหลังจากที่องค์พระพรหมถูกทำลาย ผู้คนที่มากราบไหว้บูชาก็ลดลงมาก เหลือเพียง 20 % รายได้ของตนก็ลดลงไปมากเช่นกัน ยิ่งตอนกลางคืน แทบจะไม่มีคนมากราบไหว้เลย แต่เมื่อนำพระพรหมองค์ใหม่มาประดิษฐาน ผู้คนก็หลั่งไหลเข้ามาสักการบูชากันอย่างไม่ขาดสาย อาจจะเยอะกว่าองค์ก่อนอีกด้วย และไม่ได้คิดว่าพระพรหมองค์ก่อนกับองค์นี้ต่างกัน เพราะองค์ใหม่นี้มีส่วนประกอบขององค์เก่าอยู่ด้วย โดยเฉพาะเศียรเป็นขององค์เก่าเกือบทั้งหมด

สำหรับเรื่องการขอพรจากองค์พระพรหม นางสมจิตรเล่าว่า โดยมากชาวต่างชาติที่มากราบไหว้มักจะขอพรจากพระองค์ท่านเรื่องธุรกิจที่เข้ามาติดต่อในประเทศไทย แต่ถ้าเป็นคนไทยมักจะขอเรื่องทั่วๆ ไป เช่น เรื่องการเรียน หน้าที่การงาน สุขภาพ เป็นต้น

ส่วนนางธนิดา วริศนราการ อายุ 42 ปี แม่ค้าขายดอกไม้ธูปเทียนบริเวณนั้น เล่าว่า รู้สึกเสียใจที่เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น ตนเองไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์วันนั้น แต่แม่ค้าบางคนเมื่อรู้ข่าวก็รีบเดินทางมาดู เมื่อเกิดเหตุการณ์นั้นขึ้น ผู้คนที่มากราบไหว้พระองค์ท่านก็ลดน้อยลง แต่ผู้คนที่ศรัทธาในองค์ท่านจริงๆ ก็ยังคงเดินทางมากราบไหว้บูชาท่านอยู่ เพราะผู้คนทั่วไปมักจะคิดว่ารอให้องค์ท่านกลับมาก่อน แล้วจึงค่อยมากราบไหว้ หลังจากเหตุการณ์วันนั้นประกอบกับช่วงนั้นมีการประท้วง ทำให้รายได้ของตนลดลงพอสมควร

โดยนางธนิดาเล่าว่า ผู้คนส่วนใหญ่มักขอพรจากองค์ท่านในเรื่องทั่วๆ ไป เมื่อองค์ท่านมีเมตตาต่อผู้คนเหล่านั้น จึงทำให้เกิดความเชื่อและศรัทธาต่อองค์ท่าน

นางพรทิพย์ ทองมา อายุ 65 ปี เจ้าหน้าที่คณะละครดำรงนาฏศิลป์ เล่าว่า พระพรหมองค์นี้มีผู้มากราบไหว้บูชามากขึ้น จำนวนคนที่มาแก้บนโดยการว่าจ้างนางรำถวายก็มากขึ้นประมาณ 25 – 30 % และไม่รู้สึกว่าพระพรหมองค์ใหม่กับองค์เก่าแตกต่างกัน เพราะองค์นี้ก็มีส่วนขององค์เก่าประกอบอยู่ด้วย คือ ส่วนไหนที่ไม่ค่อยเสียหาย ก็นำมาบูรณะซ่อมแซมหลอมรวมกับองค์ใหม่

นางสมจิตร ผลศิริ อายุ 30 ปี นางรำคณะดำรงนาฏศิลป์ เล่าว่า ตั้งแต่เกิดเหตุการณ์วันนั้น รายได้ของตนก็ลดลงมากพอสมควร แต่หลังจากอัญเชิญท้าวมหาพรหมมาประดิษฐาน ผู้คนที่มากราบไหว้บูชาก็มีจำนวนมากขึ้นกว่าองค์ก่อน แต่รายได้ของตนซึ่งมาจากจำนวนรอบของการรำไม่ค่อยแตกต่างจากเดิมเท่าไร เพราะรายได้ของตนไม่ค่อยแน่นอนอยู่แล้ว จึงยากต่อการคาดคะเนว่ารายได้ดีขึ้นหรือไม่ แต่ความศรัทธาที่มีต่อองค์พระพรหมเหมือนเดิม โดยมากมักขอพรจากองค์พระพรหมเรื่องการงานและครอบครัว และมักจะสมหวังเกือบทุกครั้ง

นายรัฐพล สมุทรโคดม อายุ 28 ปี ผู้มาสักการะกล่าวว่า ตนเดินทางมาสักการะบูชาองค์พระพรหมค่อนข้างบ่อย เนื่องจากพาแขกมาไหว้ แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์นั้นขึ้นก็รู้สึกไม่ค่อยดี เพราะพระพรหมเป็นเทวรูปที่เรานับถือ เรามากราบไหว้ เขากลับมาทำแบบนี้ แต่เมื่อนำองค์ใหม่มาประดิษฐาน ก็ไม่รู้สึกแตกต่างจากเดิม ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม ความเชื่อความศรัทธาของเรายังเหมือนเดิม โดยมากมาขอพรจากองค์พระพรหมเรื่องหน้าที่การงาน

นางสกุลกาญจน์ เจนจรัสชีวกุล อายุ 28 ปี ผู้มาสักการะกล่าวว่า รู้สึกแปลกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และมีความรู้สึกแตกต่างระหว่างองค์พระพรหมองค์เก่ากับองค์ใหม่ เพราะองค์เก่าเป็นของเก่า ของโบราณ แต่องค์ใหม่เป็นของใหม่ที่เพิ่งสร้าง แต่คิดว่าคนทั่วไปคงไม่รู้สึกแตกต่าง เพราะความศักดิ์สิทธิ์อยู่ที่ใจของแต่ละคน สำหรับตนเคยมาขอพรจากพระองค์ท่านเรื่องการเรียนและการงาน

นางสาวสุภาพร คำแสง อายุ 25 ปี ผู้มาสักการะกล่าวว่า รู้สึกตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะไม่คิดว่าจะมีใครทำแบบนั้น แต่ตนไม่รู้สึกว่าพระพรหมองค์เก่ากับองค์ใหม่นั้นแตกต่างกัน เพราะเรื่องนี้อยู่ที่ความนับถือความศรัทธาของเรา โดยตนมาขอพรจากพระพรหมเรื่องหน้าที่การงาน

นี่เป็นเพียงความคิดเห็นส่วนหนึ่งของผู้ที่ทำมาค้าขายอยู่บริเวณนั้นและผู้ที่มาสักการบูชาองค์ท้าวมหาพรหม เป็นเครื่องพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า แม้จะเกิดเหตุการณ์ที่สะเทือนใจเพียงใด แต่ความเคารพศรัทธาที่มีต่อองค์ท้าวมหาพรหมนั้นยังคงไม่เสื่อมคลาย และนับวันมีแต่จะเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น ซึ่งเห็นได้จากคำบอกเล่าของผู้ที่ทำมาค้าขายอยู่บริเวณนั้นที่ต่างกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า ” ตั้งแต่อัญเชิญองค์พระพรหมมาประดิษฐาน คนที่มากราบไหว้บูชาก็เพิ่มมากขึ้น ”

บทความจาก http://www.oknation.net/blog/print.php?id=36119



พลังจิตตานุภาพ "พล.ร.ต.หลวงสุวิชาแพทย์" ผู้อัญเชิญท้าวมหาพรหม

ในอดีตหลายสิบปีที่ผ่านมาเรื่องของพลังอำนาจจิต หรือฤทธิ์จาก "อภิญญา" ซึ่งเป็นผลของการปฏิบัติสมาธิวิปัสสนา เป็นเรื่องที่ยังมีคนพูดถึงกันน้อยมาก คนเก่งๆ ทางพลังจิต ที่ได้รับการกล่าวถึงก็ดูเหมือนจะไม่ค่อยมีแต่ถึงอย่างไรก็ยังมีอยู่ท่านหนึ่งที่เคยได้ยินชื่อเสียงและกิตติศัพท์มานานถึงความสามารถทางพลังจิตของท่าน
ท่านผู้นั้นคือ "พล.ร.ต.หลวงสุวิชานแพทย์" ผู้อัญเชิญ "ท้าวมหาพรหม" ณ โรงแรมเอราวัณ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ทั้งคนไทยและชาวต่างชาติรู้จักกันดีและนิยมเดินทางมากราบไหว้บูชาสักการะ

เรื่องราวและชีวประวัติของ พล.ร.ต.หลวงสุวิชานแพทย์ ค่อนข้างพิสดารเพราะตลอดชีวิตของท่านผู้นี้มักสัมผัสกับสิ่งเร้นลับมาโดยตลอด ผู้เขียนจึงขอนำประวัติและเรื่องราวจากญาณสัมผัสของท่านมาลงเผยแพร่ เพื่อประโยชน์ให้เป็นความรู้สำหรับผู้ปฏิบัติท่านอื่นๆต่อไป

พล.ร.ต.หลวงสุวิชานแพทย์ เกิดที่ ต.ท่าจีน จ.สมุทรสาคร เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2435 บิดามารดาชื่อ นายจ่าง และ นางจีน สุวรรณภาณุ คุณหลวงสุวิชานฯ จบการศึกษาโดยเป็นแพทย์ฝึกหัดของศิริราชพยาบาล เมื่อ พ.ศ.2456 จากนั้นในปี 2457 จึงได้รับบรรจุเป็นแพทย์กองกลาง กองแพทย์ทหารเรือ และในปีเดียวกันก็ได้สมรสกับ นางสาวบัวคำ จารุสาธร มีบุตรด้วยกัน 5 คน

ประวัติการทำงานของ พล.ร.ต.หลวงสุวิชานแพทย์นับแต่ได้เข้ารับราชการเป็นแพทย์ ท่านก็ได้ย้ายไปประจำอยู่ตามหน่วย ของกรมแพทย์พยาบาลทหารเรือจนถึงโรงพยาบาลสัตหีบ (โรงพยาบาลอาภากรเกียรติวงศ์) และโรงพยาบาลทหารเรือบุคคโล (โรงพยาบาลสมเด็จพระปิ่นเกล้า) ตำแหน่งสุดท้ายก่อนเกษียณอายุราชการคือ นายแพทย์ใหญ่ทหารเรือ

ช่วงชีวิตในวัยทำงานคุณหลวงสุวิชานฯ เคยลาอุปสมบทเป็นพระภิกษุที่วัดราชบูรณะวรวิหาร (วัดเลียบ) โดยมี "ท่านพระครูโต๊ะ" เป็นผู้สอนวิปัสสนา จากการบวชเรียนและเคร่งปฏิบัติวิปัสสนาอย่างหนักในครั้งนั้นได้ทำให้ท่านมี "อภิญญา" เกิด "ทิพยจักษุ" และได้ใช้ความสามารถพิเศษที่มีช่วยเหลือคนตั้งแต่นั้นมา เล่ากันว่าคุณหลวงฯเคยใช้ "ญาณ" ของท่านช่วยนายพลเรือโทท่านหนึ่ง สังกัดกรมนาวิกโยธิน หาปืนที่หายไปนับ 100 กระบอกโดยไม่มีร่องรอยว่าหายไปได้อย่างไร ทำให้นายพบท่านนั้นวิตก เพราะอยู่ในความรับผิดชอบของตน จึงติดต่อให้คุณหลวงฯช่วยใช้ญาณตรวจดูให้หน่อยว่าปืนทั้งหมดหายไปอยู่ที่ไหน คุณหลวงฯจึงนั่งสมาธิตรวจดูจึงพบว่าปืนทั้งหมดนั้นมีคนร้ายขโมยไปโดยแยกไปซ่อนไว้ 2 ที่ ที่หนึ่งซ่อนโดยมีของปิดเอาไว้ อีกที่หนึ่งก็ซุกอยู่ไม่ห่างกันนัก ท่านนายพลผู้นั้นเมื่อรู้ความเช่นนี้ก็รีบสั่งให้ทหารช่วยกันออกค้นหา จนพบปืนทั้งหมดดังกล่าวอยู่ในสถานที่ที่ตรงกับคุณหลวงฯบอก จึงทำให้หลายฝ่ายเกิดความทึ่งและเชื่อถือ "ตาใน" ของคุณหลวงฯมากยิ่งขึ้น

ชื่อเสียงของคุณหลวงสุวิชานแพทย์และเกียรติประวัติของท่านนั้นสมัยนี้คนรุ่นหลังอาจจะไม่ทราบว่าท่านเคยอยู่เบื้องหลังการติดต่อกับเทพ พรหมเพื่อสร้างศาลท้าวมหาพรหม ณ โรงแรมเอราวัณจนสำเร็จ การสร้างศาลท้าวมหาพรหมเกิดขึ้นหลังจากเริ่มสร้างโรงแรมเอราวัณ ซึ่งช่วงแรกที่ดำเนินการก่อสร้างโรงแรมนั้นเกิดอุปสรรคมากมาย ต้องแก้ไขงานอยู่ตลอดเวลา อีกทั้งคนงาน พวกช่างเหล็ก ช่างปูน ก็มักประสบอุบัติเหตุเลือดตกยางออกอยู่บ่อยๆจนผิดสังเกต งานก่อสร้างจึงล่าช้าออกไป เมื่อรู้ไปถึง พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ ซึ่งท่านเป็นอธิบดีกรมตำรวจในขณะนั้น และยังเป็นประธานกรรมการบริหารของโรงแรมเอราวัณในสมัยนั้นด้วย ท่านจึงต้องหาทางแก้ไขด้วยการติดต่อขอให้คุณหลวงสุวิชานแพทย์มาช่วยดูว่า เพราะเหตุใดการก่อสร้างโรงแรมเอราวัณจึงมีอุปสรรคและจะแก้ไขอย่างไรให้โรงแรมสร้างเสร็จทันตามเวลาที่กำหนด

เมื่อคุณหลวงสุวิชานแพทย์ทราบเรื่องราวทั้งหมดแล้ว ท่านจึงใช้สมาธิตรวจดูเหตุการณ์ต่างๆ จนพบว่าสาเหตุที่ทำให้เกิดอุปสรรคจนการสร้างโรงแรมล่าช้านั้นเป็นผลมาจากการตั้งชื่อโรงแรมแห่งนี้ว่า "เอราวัณ" นั่นเอง เพราะคำว่า "เอราวัณ" นี้เป็นนามของ "ช้างทรงของพระอินทร์" จากนั้นท่านก็ได้แนะนำว่าการจะแก้ไขให้เหตุการณ์ร้ายๆทั้งหลายลุล่วงไปด้วยดีนั้น ผู้สร้างจะต้องขออนุญาตจาก "ท่านท้าวมหาพรหม" ในการขอตั้งชื่อ "โรงแรมเอราวัณ" เสียก่อน และจะต้องตั้งศาลท่านท้าวมหาพรหมในที่ที่เหมาะสมของโรงแรมด้วยสิ่งร้ายๆทั้งหลายจึงจะกลับกลายเป็นดีได้

หลังจากได้รับคำแนะนำจากคุณหลวงฯ แล้วทางเจ้าของโรงแรมก็ได้ให้คุณหลวงฯช่วยดูสถานที่ที่จะตั้งศาลถวายท่านท้าวมหาพรหม ปรากฏว่าพระองค์ท่านโปรดจะให้ตั้งตรงมุมของโรงแรมด้านสี่แยกราชประสงค์ ซึ่งศาลท่านท้าวมหาพรหมนี้ผู้ออกแบบคือ นายเจือระวี ชมเสวี กับ หม่อมหลวงชุ่ม มาลากุล ส่วนพระรูปหล่อจำลองนั้นปั้นโดย นายจิตร พิมโกวิท นายช่างโทประจำแผนกกองหัตถศิลป์ กรมศิลปากร

เรื่องราวมหัศจรรย์เกี่ยวกับองค์ท่าน "ท้าวมหาพรหม" ที่โรงแรมเอราวัณนี้เมื่อครั้งที่ พล.ร.ต.หลวงสุวิชานแพทย์ยังมีชีวิตอยู่ท่านเคยเล่าถึงองค์เทพที่สถิตอยู่ในองค์รูปปั้นท่านท้าวมหาพรหมว่า แท้ที่จริงก็คือทิพย์วิญญาณ "พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว" พระมหากษัตริย์พระองค์หนึ่งในรัชกาลที่ 4 ของกรุงรัตนโกสินทร์นั่นเอง

จากการตรวจด้วย "ทิพยจักษุ" และการติดต่อกับทิพย์วิญญาณทางสมาธิ คุณหลวงสุวิชานแพทย์ได้เล่าถึง พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวว่า หลังจากที่พระองค์ท่านเสด็จสวรรคตแล้วได้ไปบังเกิดบนสรวงสวรรค์ชั้นพรหม ทรงมีตำแหน่งหน้าที่เป็นรองท่านท้าวมหาพรหมและได้รับพระนามใหม่ว่า "ท่านท้าวเกศโร" ซึ่งเมื่อคุณหลวงฯ ได้ทำพิธีประดิษฐานพระรูปปั้นขององค์ท้าวมหาพรหม จึงได้อัญเชิญพระวิญญาณให้มาสถิตอยู่ที่พระรูปปั้นด้วยเพื่อให้ช่วยปัดเป่าความทุกข์ยากและความเดือดร้อนของประชาชนที่มาสักการะ

ความศักดิ์สิทธิ์ขององค์ท้าวมหาพรหม ยังมีอีกเรื่องหนึ่งซึ่งเล่าต่อๆกันมาว่า องค์ท่านเคยแปลงเป็นมนุษย์เพื่อมารักษาคนเจ็บหนัก เรื่องนั้นมีอยู่ว่าครั้งหนึ่งพี่สะใภ้ของภรรยาอดีตเจ้ากรมจเรทหารบกเกิดป่วยหนัก มีอาการตัวบวมไปหมดทั้งตัว ตาก็บวมปิดทั้ง 2 ข้าง หมอตรวจดูแล้วไม่ทราบว่าเป็นอะไร ทำให้ญาติพี่น้องที่ไปเยี่ยม พอเห็นสภาพของคนป่วยแล้วก็นึกสลดหดหู่ใจเพราะความสงสาร จนท้ายที่สุดภรรยาท่านเจ้ากรมจเรฯ ก็ทนไม่ไหวที่เห็นสภาพพี่สะใภ้เป็นเช่นนี้ จึงรีบติดต่อและเดินทางไปหาคุณหลวงสุวิชานแพทย์ถึงบ้านทันทีที่มาถึงบ้านคุณหลวงฯ ขณะที่กำลังทำความเคารพคุณหลวงฯ ยังไม่ทันเอ่ยอะไร คุณหลวงฯก็พูดทักขึ้นมาทันทีว่า "มาเรื่องคนเจ็บใช่ไหม?" แล้วพูดต่ออีกว่า "คนไข้คนนี้ประตูสวรรค์เปิดแล้ว คนนี้ตายก็ไม่ตกนรกเพราะเป็นคนดีแต่ทำไมไม่อยากให้ตาย?" แล้วท่านก็ทำการติดต่อองค์ท้าวมหาพรหมเพื่อหาวิธีแก้ โดยให้คนเจ็บบนบาน ว่าหากหายแล้วจะถวายพระนอนขนาด 1 ใน 3 ของคนเจ็บ เมื่อกลับมาก็มาบอกวิธีการที่คุณหลวงฯบอกกับพี่ชายไว้ จนกระทั่งวันหนึ่งภรรยาท่านเจ้ากรมจเรฯ ก็มาเยี่ยมพี่สะใภ้อีก และพบว่าพี่สะใภ้มีอาการดีขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ แล้วยิ่งได้สดับฟังเรื่องราวที่
พี่สะใภ้เล่าให้ฟังก็ยิ่งขนลุก เพราะเธอเล่าว่า ขณะนอนป่วยอยู่ จู่ๆก็มีชายหนุ่มแปลกหน้าซึ่งไม่เคยรู้จักเดินเข้ามาหาถึงในห้องนอนเพื่อมาเยี่ยมไข้ถึง 2 วันติดต่อกัน เธอจำได้ติดตาว่าชายหนุ่มผู้นั้นมีจุดเด่นตรงใบหน้าที่เป็นสี่เหลี่ยมที่ดูแปลกไม่เหมือนใคร

เมื่อภรรยาท่านจเรทหารบกได้ฟังพี่สะใภ้เล่าเช่นนั้นก็เดินทางไปหาคุณหลวงฯอีก เมื่อถึงที่บ้านก็อีกเช่นเคยคือยังไม่ทันจะเอ่ยพูดอะไรคุณหลวงฯก็เอ่ยขึ้นมาก่อนว่า "ท่านท้าวมหาพรหมเสด็จไปเยี่ยม คนไข้คนนี้ท่านรับแล้วไม่เป็นไรหรอก" และตั้งแต่นั้นมา อาการป่วยของคนไข้ก็หายวันหายคืนจนเป็นปกติ และมีชีวิตอยู่ต่อมาได้อีก 10 ปีเศษ จึงถึงแก่กรรม

เรื่องเช่นนี้หากไม่ได้ประสบด้วยตนเอง คงฟังดูค่อนข้างเหลือเชื่อ แต่ก็มีผู้ที่มีประสบการณ์ทำนองนี้อยู่หลายคนที่ยอมรับถึงเหตุการณ์พิศวงที่ตัวเองเคยพบขณะเจ็บป่วยขั้นรุนแรง อยู่ในสภาวะที่จวนเจียนจะไปเต็มที หลายคนมักเห็นพระภิกษุสงฆ์ที่ตนเองนับถือ เห็นองค์เทพศักดิ์สิทธิ์หรือแม้แต่เห็นดวงวิญญาณของพ่อแม่ ญาติพี่น้องที่ล่วงลับไปแล้วมาหา และที่แปลกไปกว่านั้นก็คือบางคนไม่น่าจะรอด แต่เมื่อพบเหตุพิศวงบางอย่างก็กลับมาหายวันหายคืน จึงเป็นเรื่องที่ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ จึงพอสรุปได้ว่าบนโลกใบนี้ ยังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่เป็นความเร้นลับซึ่งถูกซุกซ่อนอยู่ และ "ประสบการณ์ทางจิต" บางอย่างก็จะเกิดได้กับบางคนเท่านั้น จึงถือเป็น "ปัตจัตตัง" ที่รู้ได้เฉพาะบุคคลจริงๆ

สำหรับคุณหลวงสุวิชานแพทย์ท่านนี้ในสมัยที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ นอกจากจะมีอาชีพรับราชการแล้ว ท่านยังเจียดเวลาที่มีอยู่ ไปกับการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์โดยใช้ "ญาณทิพย์" จาก "ตาใน" จนได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญทางฌาณสมาธิที่ยอดเยี่ยมผู้หนึ่ง ท่านจึงได้รับเชิญเข้าร่วมพิธีกรรมสำคัญของบ้านเมืองมามากมาย ความสามารถของคุณหลวงฯมีเล่าไว้เยอะแต่มีอยู่เรื่องหนึ่ง ที่ยังเล่ากันถึงทุกวันนี้ ก็คือการช่วยคนให้มีชีวิตขึ้นมาอีกครั้งด้วยการ "ต่ออายุคนตาย"

เรื่องนี้เล่ากันมาว่า ครั้งหนึ่งได้มีผู้มาติดต่อให้คุณหลวงฯไปรักษาญาติที่ป่วยมีอาการเพียบหนัก คุณหลวงฯก็ยินดีไปรักษาให้ปรากฏว่าเมื่อไปถึงบ้าน คนป่วยได้สิ้นใจไปก่อนหน้าที่คุณหลวงฯจะไปถึงเพียงเดี๋ยวเดียว บรรดาญาติพี่น้องของผู้ป่วยต่างพากันร่ำไห้ คร่ำครวญด้วยความโศกเศร้า อาลัยอาวรณ์ แล้วพากันขอร้องให้คุณหลวงฯช่วยหาหนทางแก้ไขทำให้คนตายฟื้นขึ้นมาจะด้วยวิธีใดก็ได้ เพราะพวกเขาทราบว่าคุณหลวงฯ ท่านมีความสามารถทำได้

คุณหลวงฯเองก็สงสารแต่ยังไม่กล้ารับปาก เพราะท่านต้องใช้ "ฌาณสมาธิ" ตรวจดูก่อนว่าจะช่วยได้แค่ไหน จากนั้นท่านก็เข้าสมาธิติดตามวิญญาณของผู้ตายไปจนพบกับ "เทวดารักษาอายุ" ของเขา ท่านจึงได้ขอร้องเทวดาฯว่า ขอชีวิตของคนตายให้คืนกลับร่างได้หรือไม่ สุดท้ายเทวดาฯก็ยินยอมโดยมีข้อต่อรองว่า ถ้าหากวิญญาณของชายผู้นั้นเข้าร่างแล้ว ต้องให้เขาบวชเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนาชั่วระยะหนึ่ง คุณหลวงฯจึงตกลง และได้บอกกับญาติผู้ตายตามนี้ทำให้บรรดาญาติๆต่างดีใจ และเฝ้ารอวิญญาณคืนสู่ร่างด้วยใจจดจ่อ ปรากฏว่าอีกไม่นานผู้ตายก็ค่อยๆรู้สึกตัว โดยที่หัวใจเริ่มเต้นช้าๆจนเข้าระดับปกติ และเมื่อหายดีแล้วญาติพี่น้องก็จัดการให้เขาบวชเป็นพระภิกษุตามข้อตกลงที่ให้ไว้กับเทวดารักษาอายุทันที

การขอชีวิตคนตายให้ฟื้นกลับมา คุณหลวงสุวิชานแพทย์เคยกล่าวไว้ว่า "เปรียบเสมือนเราต้องการสิ่งหนึ่งสิ่งใดจากวัดใดวัดหนึ่งเราจำเป็นจะต้องไปขออนุญาตตกลงกับเจ้าอาวาสหรือผู้เป็นใหญ่ในวัดฉันใด การขอชีวิตก็จำเป็นที่จะต้องไปขออนุญาตตกลงกับเทวดาองค์ที่รักษาอายุของคนผู้นั้นฉันนั้น"

จาก นิตยสารหญิงไทย


มูลนิธิทุนท่านท้าวมหาพรหมโรงแรมเอราวัณ
ได้นำเงินบริจาคไปจัดซื้อเครื่องมือแพทย์
และมอบให้แก่โรงพยาบาล และสถานีอนามัยต่างๆ


มอบเครื่องมือแพทย์ให้โรงพยาบาลต่างๆ รวม 59 แห่ง มูลค่าทั้งสิ้น 34.5 ล้านบาท
คณะกรรมการอนุมัติ เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2553

มอบเครื่องมือแพทย์ มูลค่าทั้งสิ้น 42.3 ล้านบาท ให้แก่โรงพยาบาล 48 แห่ง
เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2552

มอบเครื่องมือแพทย์ มูลค่าทั้งสิ้น 34.4 ล้านบาท ให้แก่โรงพยาบาล 65 แห่ง
เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2552

มอบเครื่องมือแพทย์ ให้โรงพยาบาล และสถานีอนามัยต่างๆ
รวม 89 แห่ง มูลค่าทั้งสิ้น 29.77 ล้านบาท
เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2550

มอบเครื่องมือแพทย์ มูลค่า 80 ล้านบาท ให้แก่โรงพยาบาล 73 แห่ง
เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2550

มอบเครื่องมือแพทย์ มูลค่า 32.67 ล้านบาท ให้แก่โรงพยาบาล 131 แห่ง
เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2548

มอบเครื่องมือแพทย์ มูลค่า 17.41 ล้านบาท ให้แก่โรงพยาบาล 72 แห่ง
เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2548

มอบเครื่องมือแพทย์ มูลค่า 21.8 ล้านบาท ให้แก่โรงพยาบาล 84 แห่ง
เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2547

มอบเครื่องมือแพทย์ มูลค่า 25.1 ล้านบาท ให้แก่โรงพยาบาล 65 แห่ง
เมื่อวันที่ 24 กันยายน 2547

มอบเครื่องมือแพทย์ มูลค่า 21.8 ล้านบาท ให้แก่โรงพยาบาล 84 แห่ง
เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2546

มอบเครื่องมือแพทย์ มูลค่า 25.1 ล้านบาท ให้แก่โรงพยาบาล 65 แห่ง
เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2546








 

วิธีการบูชาองค์เทพฮินดู การไหว้เทพเจ้าอินเดีย ข้อมูลองค์เทพอินเดีย ประเทศอินเดีย

วิธีบูชาพระนารายณ์ การไหว้พระแม่ลักษมี บทสวดมนต์พระแม่ลักษมี องค์พระวิษณุ การไหว้องค์พระวิษณุเทพ

จำหน่ายหนังสือบูชาองค์เทพ คู่มือบูชาเทพ
หนังสือบูชาพระพิฆเณศวร์ หนังสือธรรมะศาสนาพุทธ ธรรมะในศาสนาฮินดู
ความรู้เรื่องการบูชาองค์เทพของอินเดีย หนังสือศาสนาพราหมณ์


วิธีการบูชาเจ้าแม่กาลี พระแม่กาลี การไหว้พระแม่การี

สั่งพิมพ์หนังสือสวดมนต์ พิมพ์หนังสือธรรมะ
สั่งพิมพ์หนังสือองค์เทพ เพื่อแจกจ่าย ทำบุญด้วยหนังสือสวดมนต์


หนังสือคู่มือบูชาพระพิฆเนศวร์ วิธีไหว้พระศิวะ องค์ศิวะเทพ

หนังสือบูชาพระแม่อุมาเทวี เจ้าแม่ทุรคาเทวี วีธีการบูชาเจ้าแม่อุมา พระแม่ทุรกาเทวี



ขออำนาจแห่งพระพิฆเนศวรโปรดดลบันดาลให้ท่านทั้งหลายล้วนประสบแต่ความสำเร็จในทุกๆประการด้วยเทอญ
สงวนลิขสิทธิ์ SiamGanesh.com, All Rights Reserved.