พลังจิตตานุภาพ "พล.ร.ต.หลวงสุวิชาแพทย์" ผู้อัญเชิญท้าวมหาพรหม
ในอดีตหลายสิบปีที่ผ่านมาเรื่องของพลังอำนาจจิต หรือฤทธิ์จาก
"อภิญญา" ซึ่งเป็นผลของการปฏิบัติสมาธิวิปัสสนา เป็นเรื่องที่ยังมีคนพูดถึงกันน้อยมาก
คนเก่งๆ ทางพลังจิต ที่ได้รับการกล่าวถึงก็ดูเหมือนจะไม่ค่อยมีแต่ถึงอย่างไรก็ยังมีอยู่ท่านหนึ่งที่เคยได้ยินชื่อเสียงและกิตติศัพท์มานานถึงความสามารถทางพลังจิตของท่าน
ท่านผู้นั้นคือ "พล.ร.ต.หลวงสุวิชานแพทย์" ผู้อัญเชิญ
"ท้าวมหาพรหม" ณ โรงแรมเอราวัณ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ทั้งคนไทยและชาวต่างชาติรู้จักกันดีและนิยมเดินทางมากราบไหว้บูชาสักการะ
เรื่องราวและชีวประวัติของ พล.ร.ต.หลวงสุวิชานแพทย์ ค่อนข้างพิสดารเพราะตลอดชีวิตของท่านผู้นี้มักสัมผัสกับสิ่งเร้นลับมาโดยตลอด
ผู้เขียนจึงขอนำประวัติและเรื่องราวจากญาณสัมผัสของท่านมาลงเผยแพร่
เพื่อประโยชน์ให้เป็นความรู้สำหรับผู้ปฏิบัติท่านอื่นๆต่อไป
พล.ร.ต.หลวงสุวิชานแพทย์ เกิดที่ ต.ท่าจีน จ.สมุทรสาคร เมื่อวันที่
10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2435 บิดามารดาชื่อ นายจ่าง และ นางจีน สุวรรณภาณุ
คุณหลวงสุวิชานฯ จบการศึกษาโดยเป็นแพทย์ฝึกหัดของศิริราชพยาบาล
เมื่อ พ.ศ.2456 จากนั้นในปี 2457 จึงได้รับบรรจุเป็นแพทย์กองกลาง
กองแพทย์ทหารเรือ และในปีเดียวกันก็ได้สมรสกับ นางสาวบัวคำ จารุสาธร
มีบุตรด้วยกัน 5 คน
ประวัติการทำงานของ พล.ร.ต.หลวงสุวิชานแพทย์นับแต่ได้เข้ารับราชการเป็นแพทย์
ท่านก็ได้ย้ายไปประจำอยู่ตามหน่วย ของกรมแพทย์พยาบาลทหารเรือจนถึงโรงพยาบาลสัตหีบ
(โรงพยาบาลอาภากรเกียรติวงศ์) และโรงพยาบาลทหารเรือบุคคโล (โรงพยาบาลสมเด็จพระปิ่นเกล้า)
ตำแหน่งสุดท้ายก่อนเกษียณอายุราชการคือ นายแพทย์ใหญ่ทหารเรือ
ช่วงชีวิตในวัยทำงานคุณหลวงสุวิชานฯ เคยลาอุปสมบทเป็นพระภิกษุที่วัดราชบูรณะวรวิหาร
(วัดเลียบ) โดยมี "ท่านพระครูโต๊ะ" เป็นผู้สอนวิปัสสนา
จากการบวชเรียนและเคร่งปฏิบัติวิปัสสนาอย่างหนักในครั้งนั้นได้ทำให้ท่านมี
"อภิญญา" เกิด "ทิพยจักษุ" และได้ใช้ความสามารถพิเศษที่มีช่วยเหลือคนตั้งแต่นั้นมา
เล่ากันว่าคุณหลวงฯเคยใช้ "ญาณ" ของท่านช่วยนายพลเรือโทท่านหนึ่ง
สังกัดกรมนาวิกโยธิน หาปืนที่หายไปนับ 100 กระบอกโดยไม่มีร่องรอยว่าหายไปได้อย่างไร
ทำให้นายพบท่านนั้นวิตก เพราะอยู่ในความรับผิดชอบของตน จึงติดต่อให้คุณหลวงฯช่วยใช้ญาณตรวจดูให้หน่อยว่าปืนทั้งหมดหายไปอยู่ที่ไหน
คุณหลวงฯจึงนั่งสมาธิตรวจดูจึงพบว่าปืนทั้งหมดนั้นมีคนร้ายขโมยไปโดยแยกไปซ่อนไว้
2 ที่ ที่หนึ่งซ่อนโดยมีของปิดเอาไว้ อีกที่หนึ่งก็ซุกอยู่ไม่ห่างกันนัก
ท่านนายพลผู้นั้นเมื่อรู้ความเช่นนี้ก็รีบสั่งให้ทหารช่วยกันออกค้นหา
จนพบปืนทั้งหมดดังกล่าวอยู่ในสถานที่ที่ตรงกับคุณหลวงฯบอก จึงทำให้หลายฝ่ายเกิดความทึ่งและเชื่อถือ
"ตาใน" ของคุณหลวงฯมากยิ่งขึ้น
ชื่อเสียงของคุณหลวงสุวิชานแพทย์และเกียรติประวัติของท่านนั้นสมัยนี้คนรุ่นหลังอาจจะไม่ทราบว่าท่านเคยอยู่เบื้องหลังการติดต่อกับเทพ
พรหมเพื่อสร้างศาลท้าวมหาพรหม ณ โรงแรมเอราวัณจนสำเร็จ การสร้างศาลท้าวมหาพรหมเกิดขึ้นหลังจากเริ่มสร้างโรงแรมเอราวัณ
ซึ่งช่วงแรกที่ดำเนินการก่อสร้างโรงแรมนั้นเกิดอุปสรรคมากมาย
ต้องแก้ไขงานอยู่ตลอดเวลา อีกทั้งคนงาน พวกช่างเหล็ก ช่างปูน
ก็มักประสบอุบัติเหตุเลือดตกยางออกอยู่บ่อยๆจนผิดสังเกต งานก่อสร้างจึงล่าช้าออกไป
เมื่อรู้ไปถึง พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ ซึ่งท่านเป็นอธิบดีกรมตำรวจในขณะนั้น
และยังเป็นประธานกรรมการบริหารของโรงแรมเอราวัณในสมัยนั้นด้วย
ท่านจึงต้องหาทางแก้ไขด้วยการติดต่อขอให้คุณหลวงสุวิชานแพทย์มาช่วยดูว่า
เพราะเหตุใดการก่อสร้างโรงแรมเอราวัณจึงมีอุปสรรคและจะแก้ไขอย่างไรให้โรงแรมสร้างเสร็จทันตามเวลาที่กำหนด
เมื่อคุณหลวงสุวิชานแพทย์ทราบเรื่องราวทั้งหมดแล้ว ท่านจึงใช้สมาธิตรวจดูเหตุการณ์ต่างๆ
จนพบว่าสาเหตุที่ทำให้เกิดอุปสรรคจนการสร้างโรงแรมล่าช้านั้นเป็นผลมาจากการตั้งชื่อโรงแรมแห่งนี้ว่า
"เอราวัณ" นั่นเอง เพราะคำว่า "เอราวัณ"
นี้เป็นนามของ "ช้างทรงของพระอินทร์" จากนั้นท่านก็ได้แนะนำว่าการจะแก้ไขให้เหตุการณ์ร้ายๆทั้งหลายลุล่วงไปด้วยดีนั้น
ผู้สร้างจะต้องขออนุญาตจาก "ท่านท้าวมหาพรหม" ในการขอตั้งชื่อ
"โรงแรมเอราวัณ" เสียก่อน และจะต้องตั้งศาลท่านท้าวมหาพรหมในที่ที่เหมาะสมของโรงแรมด้วยสิ่งร้ายๆทั้งหลายจึงจะกลับกลายเป็นดีได้
หลังจากได้รับคำแนะนำจากคุณหลวงฯ แล้วทางเจ้าของโรงแรมก็ได้ให้คุณหลวงฯช่วยดูสถานที่ที่จะตั้งศาลถวายท่านท้าวมหาพรหม
ปรากฏว่าพระองค์ท่านโปรดจะให้ตั้งตรงมุมของโรงแรมด้านสี่แยกราชประสงค์
ซึ่งศาลท่านท้าวมหาพรหมนี้ผู้ออกแบบคือ นายเจือระวี ชมเสวี กับ
หม่อมหลวงชุ่ม มาลากุล ส่วนพระรูปหล่อจำลองนั้นปั้นโดย นายจิตร
พิมโกวิท นายช่างโทประจำแผนกกองหัตถศิลป์ กรมศิลปากร
เรื่องราวมหัศจรรย์เกี่ยวกับองค์ท่าน "ท้าวมหาพรหม"
ที่โรงแรมเอราวัณนี้เมื่อครั้งที่ พล.ร.ต.หลวงสุวิชานแพทย์ยังมีชีวิตอยู่ท่านเคยเล่าถึงองค์เทพที่สถิตอยู่ในองค์รูปปั้นท่านท้าวมหาพรหมว่า
แท้ที่จริงก็คือทิพย์วิญญาณ "พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว"
พระมหากษัตริย์พระองค์หนึ่งในรัชกาลที่ 4 ของกรุงรัตนโกสินทร์นั่นเอง
จากการตรวจด้วย "ทิพยจักษุ" และการติดต่อกับทิพย์วิญญาณทางสมาธิ
คุณหลวงสุวิชานแพทย์ได้เล่าถึง พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวว่า
หลังจากที่พระองค์ท่านเสด็จสวรรคตแล้วได้ไปบังเกิดบนสรวงสวรรค์ชั้นพรหม
ทรงมีตำแหน่งหน้าที่เป็นรองท่านท้าวมหาพรหมและได้รับพระนามใหม่ว่า
"ท่านท้าวเกศโร" ซึ่งเมื่อคุณหลวงฯ ได้ทำพิธีประดิษฐานพระรูปปั้นขององค์ท้าวมหาพรหม
จึงได้อัญเชิญพระวิญญาณให้มาสถิตอยู่ที่พระรูปปั้นด้วยเพื่อให้ช่วยปัดเป่าความทุกข์ยากและความเดือดร้อนของประชาชนที่มาสักการะ
ความศักดิ์สิทธิ์ขององค์ท้าวมหาพรหม ยังมีอีกเรื่องหนึ่งซึ่งเล่าต่อๆกันมาว่า
องค์ท่านเคยแปลงเป็นมนุษย์เพื่อมารักษาคนเจ็บหนัก เรื่องนั้นมีอยู่ว่าครั้งหนึ่งพี่สะใภ้ของภรรยาอดีตเจ้ากรมจเรทหารบกเกิดป่วยหนัก
มีอาการตัวบวมไปหมดทั้งตัว ตาก็บวมปิดทั้ง 2 ข้าง หมอตรวจดูแล้วไม่ทราบว่าเป็นอะไร
ทำให้ญาติพี่น้องที่ไปเยี่ยม พอเห็นสภาพของคนป่วยแล้วก็นึกสลดหดหู่ใจเพราะความสงสาร
จนท้ายที่สุดภรรยาท่านเจ้ากรมจเรฯ ก็ทนไม่ไหวที่เห็นสภาพพี่สะใภ้เป็นเช่นนี้
จึงรีบติดต่อและเดินทางไปหาคุณหลวงสุวิชานแพทย์ถึงบ้านทันทีที่มาถึงบ้านคุณหลวงฯ
ขณะที่กำลังทำความเคารพคุณหลวงฯ ยังไม่ทันเอ่ยอะไร คุณหลวงฯก็พูดทักขึ้นมาทันทีว่า
"มาเรื่องคนเจ็บใช่ไหม?" แล้วพูดต่ออีกว่า "คนไข้คนนี้ประตูสวรรค์เปิดแล้ว
คนนี้ตายก็ไม่ตกนรกเพราะเป็นคนดีแต่ทำไมไม่อยากให้ตาย?"
แล้วท่านก็ทำการติดต่อองค์ท้าวมหาพรหมเพื่อหาวิธีแก้ โดยให้คนเจ็บบนบาน
ว่าหากหายแล้วจะถวายพระนอนขนาด 1 ใน 3 ของคนเจ็บ เมื่อกลับมาก็มาบอกวิธีการที่คุณหลวงฯบอกกับพี่ชายไว้
จนกระทั่งวันหนึ่งภรรยาท่านเจ้ากรมจเรฯ ก็มาเยี่ยมพี่สะใภ้อีก
และพบว่าพี่สะใภ้มีอาการดีขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ แล้วยิ่งได้สดับฟังเรื่องราวที่
พี่สะใภ้เล่าให้ฟังก็ยิ่งขนลุก เพราะเธอเล่าว่า ขณะนอนป่วยอยู่
จู่ๆก็มีชายหนุ่มแปลกหน้าซึ่งไม่เคยรู้จักเดินเข้ามาหาถึงในห้องนอนเพื่อมาเยี่ยมไข้ถึง
2 วันติดต่อกัน เธอจำได้ติดตาว่าชายหนุ่มผู้นั้นมีจุดเด่นตรงใบหน้าที่เป็นสี่เหลี่ยมที่ดูแปลกไม่เหมือนใคร
เมื่อภรรยาท่านจเรทหารบกได้ฟังพี่สะใภ้เล่าเช่นนั้นก็เดินทางไปหาคุณหลวงฯอีก
เมื่อถึงที่บ้านก็อีกเช่นเคยคือยังไม่ทันจะเอ่ยพูดอะไรคุณหลวงฯก็เอ่ยขึ้นมาก่อนว่า
"ท่านท้าวมหาพรหมเสด็จไปเยี่ยม คนไข้คนนี้ท่านรับแล้วไม่เป็นไรหรอก"
และตั้งแต่นั้นมา อาการป่วยของคนไข้ก็หายวันหายคืนจนเป็นปกติ
และมีชีวิตอยู่ต่อมาได้อีก 10 ปีเศษ จึงถึงแก่กรรม
เรื่องเช่นนี้หากไม่ได้ประสบด้วยตนเอง คงฟังดูค่อนข้างเหลือเชื่อ
แต่ก็มีผู้ที่มีประสบการณ์ทำนองนี้อยู่หลายคนที่ยอมรับถึงเหตุการณ์พิศวงที่ตัวเองเคยพบขณะเจ็บป่วยขั้นรุนแรง
อยู่ในสภาวะที่จวนเจียนจะไปเต็มที หลายคนมักเห็นพระภิกษุสงฆ์ที่ตนเองนับถือ
เห็นองค์เทพศักดิ์สิทธิ์หรือแม้แต่เห็นดวงวิญญาณของพ่อแม่ ญาติพี่น้องที่ล่วงลับไปแล้วมาหา
และที่แปลกไปกว่านั้นก็คือบางคนไม่น่าจะรอด แต่เมื่อพบเหตุพิศวงบางอย่างก็กลับมาหายวันหายคืน
จึงเป็นเรื่องที่ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ จึงพอสรุปได้ว่าบนโลกใบนี้
ยังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่เป็นความเร้นลับซึ่งถูกซุกซ่อนอยู่
และ "ประสบการณ์ทางจิต" บางอย่างก็จะเกิดได้กับบางคนเท่านั้น
จึงถือเป็น "ปัตจัตตัง" ที่รู้ได้เฉพาะบุคคลจริงๆ
สำหรับคุณหลวงสุวิชานแพทย์ท่านนี้ในสมัยที่ท่านยังมีชีวิตอยู่
นอกจากจะมีอาชีพรับราชการแล้ว ท่านยังเจียดเวลาที่มีอยู่ ไปกับการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์โดยใช้
"ญาณทิพย์" จาก "ตาใน" จนได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญทางฌาณสมาธิที่ยอดเยี่ยมผู้หนึ่ง
ท่านจึงได้รับเชิญเข้าร่วมพิธีกรรมสำคัญของบ้านเมืองมามากมาย
ความสามารถของคุณหลวงฯมีเล่าไว้เยอะแต่มีอยู่เรื่องหนึ่ง ที่ยังเล่ากันถึงทุกวันนี้
ก็คือการช่วยคนให้มีชีวิตขึ้นมาอีกครั้งด้วยการ "ต่ออายุคนตาย"
เรื่องนี้เล่ากันมาว่า ครั้งหนึ่งได้มีผู้มาติดต่อให้คุณหลวงฯไปรักษาญาติที่ป่วยมีอาการเพียบหนัก
คุณหลวงฯก็ยินดีไปรักษาให้ปรากฏว่าเมื่อไปถึงบ้าน คนป่วยได้สิ้นใจไปก่อนหน้าที่คุณหลวงฯจะไปถึงเพียงเดี๋ยวเดียว
บรรดาญาติพี่น้องของผู้ป่วยต่างพากันร่ำไห้ คร่ำครวญด้วยความโศกเศร้า
อาลัยอาวรณ์ แล้วพากันขอร้องให้คุณหลวงฯช่วยหาหนทางแก้ไขทำให้คนตายฟื้นขึ้นมาจะด้วยวิธีใดก็ได้
เพราะพวกเขาทราบว่าคุณหลวงฯ ท่านมีความสามารถทำได้
คุณหลวงฯเองก็สงสารแต่ยังไม่กล้ารับปาก เพราะท่านต้องใช้ "ฌาณสมาธิ"
ตรวจดูก่อนว่าจะช่วยได้แค่ไหน จากนั้นท่านก็เข้าสมาธิติดตามวิญญาณของผู้ตายไปจนพบกับ
"เทวดารักษาอายุ" ของเขา ท่านจึงได้ขอร้องเทวดาฯว่า
ขอชีวิตของคนตายให้คืนกลับร่างได้หรือไม่ สุดท้ายเทวดาฯก็ยินยอมโดยมีข้อต่อรองว่า
ถ้าหากวิญญาณของชายผู้นั้นเข้าร่างแล้ว ต้องให้เขาบวชเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนาชั่วระยะหนึ่ง
คุณหลวงฯจึงตกลง และได้บอกกับญาติผู้ตายตามนี้ทำให้บรรดาญาติๆต่างดีใจ
และเฝ้ารอวิญญาณคืนสู่ร่างด้วยใจจดจ่อ ปรากฏว่าอีกไม่นานผู้ตายก็ค่อยๆรู้สึกตัว
โดยที่หัวใจเริ่มเต้นช้าๆจนเข้าระดับปกติ และเมื่อหายดีแล้วญาติพี่น้องก็จัดการให้เขาบวชเป็นพระภิกษุตามข้อตกลงที่ให้ไว้กับเทวดารักษาอายุทันที
การขอชีวิตคนตายให้ฟื้นกลับมา คุณหลวงสุวิชานแพทย์เคยกล่าวไว้ว่า
"เปรียบเสมือนเราต้องการสิ่งหนึ่งสิ่งใดจากวัดใดวัดหนึ่งเราจำเป็นจะต้องไปขออนุญาตตกลงกับเจ้าอาวาสหรือผู้เป็นใหญ่ในวัดฉันใด
การขอชีวิตก็จำเป็นที่จะต้องไปขออนุญาตตกลงกับเทวดาองค์ที่รักษาอายุของคนผู้นั้นฉันนั้น"
จาก นิตยสารหญิงไทย |