ลองอ่านกันดูครับ พวกร่างทรงเสียท่า ถูกดำเนินคดีอย่างไรกันบ้าง
?
จับร่างทรงเถื่อนอ้างกุมารทองรักษาโรคปวดข้อ
พ.ต.ต.ไกรวิทย์ คุณหก้องไตรภพ สว.สส.สน.บางขุนเทียน เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า
เมื่อช่วงเช้าวันที่ 5 ก.ย. ได้นำกำลังเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวน
เจ้าหน้าที่สาธารณสุข พร้อมนำหมายค้นศาลจังหวัดตลิ่งชัน
เข้าตรวจค้นบ้านเลขที่ 58 เขตบางขุนเทียน กรุงเทพฯ หลังจากสืบทราบว่าบ้านหลังดังกล่าว
เปิดเป็นสถานที่ให้พยาบาลแก่ประชาชนโดยไม่ได้รับอนุญาต โดยอ้างว่าเป็นร่างทรงกุมารทอง
รักษาอาการปวดตามข้อ ภายหลังจากทำการรักษาแล้วได้นำเอาเข็มหมุดออกมาจากร่างกาย
แล้วบอกว่าโดนของ
ตรวจสอบพบบ้านที่เกิดเหตุเป็นทาวเฮ้าส์ 2 ชั้น บริเวณชั้นล่างเปิดเป็นที่ทำการรักษาพยาบาล
เป็นสถานที่ทรงเจ้า มีผู้คนเข้าทำการรักษาอยู่ 6 คน โดยทราบว่าบ้านหลังดังกล่าว
มีนายทวี แซ่เฮ้ง อายุ 54 ปี เป็นเจ้าของบ้าน และทำหน้าที่ร่างทรงกุมารทอง
สร้อยทอง คอยทำหน้าที่รักษาพยาบาล และมีนางสุบิน แก้วเพชร
อายุ 59 ปี ภรรยา ทำหน้าที่คอยแจกบัตรคิว เมื่อทำการสอบถามใบอนุญาตประกอบวิชาชีพเวชกรรม
ประกอบกิจการและดำเนินการสถานพยาบาล ปรากฏว่าไม่มีแต่อย่างใด
เมื่อสอบสวนทราบว่า ผู้คนส่วนใหญ่ที่เข้ามารักษาเป็นผู้สูงอายุ
มักมีอาการปวดตามข้อ เมื่อมารักษา นายทวีก็จะเข้าทรง คิดค่าครูคนละ
250 บาท ในวันหนึ่งจะมีผู้เข้าใช้บริการกว่า 20 คน มีรายได้วันละ
5,000 บาท โดยการรักษาจะใช้ไม้ลักษณะคล้ายไม้มะยม ไม้ตันทั้งด้าม
กดตามข้อที่ปวด สักพักจะมีการใช้มีดหมอที่ใช้ในการผ่าตัดกรีดตรงจุดที่ผู้รักษาปวดแล้วใช้
ไม้กดอีกทีจะมีเข็มหมุดผุดออกมา เจ้าหน้าที่จึงควบคุมตัวทั้ง
2 คน มาดำเนินคดี พร้อมของกลางกว่า 29 รายการ ทั้งมีดผ่าตัดเล็ก
คีมปากจิ้งจก เข็มหมุดที่อ้างว่ากดมาจากตัวผู้โดนของ แอลกอฮอล์
น้ำมันนวด ไม้ที่ใช้กดผิวหนัง เป็นต้น
เบื้องต้นเจ้าหน้าที่แจ้งข้อหา ร่วมกันประกอบกิจการและดำเนินการสถานพยาบาลโดยไม่ได้รับอนุญาต
และประกอบวิชาชีพเวชกรรมโดยไม่ขึ้นทะเบียนและรับอนุญาต
อีกทั้งจากการสอบประวัติอาชญากรยังพบว่าทั้ง 2 คน เคยถูกดำเนินคดีในข้อหาเดียวกันมาแล้ว
เมื่อ 10 ปี ที่แล้ว ในท้องที่ สน.บางขุนเทียน อีกทั้งที่ผ่านมามีคนโดนหลอกกรณีนับร้อยราย
จึงอยากให้มาดูตัวแล้วแจ้งความดำเนินคดีกับผู้ต้องหาทั้งสองเพิ่มเติมด้วย.
ขอขอบคุณข่าวจาก เนชั่น และ ผู้จัดการ
มือปืนโกรธจัดมาทำพิธีที่บ้านหวั่นหลอกแม่
กระหน่ำยิง 3 ศพ ครูมโนราห์ชื่อดัง "โนราเปลื้อง"
พร้อมพี่เลี้ยง 2 คนดับอนาถ เผยมือปืนเป็นลูกชายเจ้าของบ้าน
สุดโมโหหลังทราบว่าอีกฝ่ายมาทำพิธีถอนการเข้าทรงมโนราห์เพื่อปัดเป่าทุกข์
ภัยให้ กับแม่และคนในบ้าน เชื่อถูกหลอกเอาเงิน ก่อนหน้าเตือนแล้วไม่ฟัง
สุดท้ายเลยต้องจ่อยิงเรียงตัว
เมื่อเวลา 00.20 น. วันที่ 20 ส.ค. พ.ต.ท.อุทิศ อดทน สวส.สภ.นาหม่อม
จ.สงขลา รับแจ้งเหตุยิงกันที่บ้านเลขที่ 129 หมู่ 3 บ้านพรุเมา
ต.พิจิตร ไปตรวจสอบพร้อมพ.ต.อ. ไพศาล ศักดิ์สุนทรศิริ
ผกก. ที่เกิดเหตุเป็นบ้านปูนชั้นเดียว หน้าบ้านพบศพผู้เสียชีวิตนอนเรียงรายอยู่
3 ศพ ประกอบด้วย นายเปลื้อง จันทร์เนียง อายุ 75 ปี หรือที่รู้จักกันในนามของโนราเปลื้อง
ครูมโนราห์ชื่อดังของ จ.สงขลา และทาง ภาคใต้ ถูกยิงด้วยปืนขนาด
9 มม. บริเวณลำตัวรวม 4 นัด ใกล้กันมีร่างนางปราณี หารเทา
อายุ 50 ปี และนางพริ้ม ศิริรัตน์ อายุ 80 ปี ชาวบ้านในพื้นที่เกิดเหตุถูกยิงด้วยอาวุธปืนชนิดเดียวกันเข้าที่ศีรษะและลำ
ตัว ที่พื้นพบปลอกกระสุนปืน ตกอยู่ 10 ปลอก เจ้าหน้าที่จึงเก็บไว้เป็นหลักฐาน
นอกจากนี้ภายในบ้านยังมีเครื่องประกอบพิธีร่างทรงมโนราห์วางอยู่
และมีเต็นท์พิธีที่หน้าบ้านอีก 1 หลัง
จากการสอบสวนทราบว่า ขณะเกิดเหตุโนราเปลื้องกำลังทำพิธีถอนการเข้าทรงมโนราห์ที่บ้านนางรัชดา
เพชรสกุล อายุ 50 ปี หลังจากทำพิธีเข้าทรงมโนราห์มาตั้งแต่วันที่
12 ส.ค.ที่ผ่าน มา เพื่อปัดเป่าทุกข์ภัยให้กับเจ้าของบ้าน
และ ชาวบ้านใกล้เคียง โดยมีนางพริ้ม และนางปราณี ช่วยเป็นพี่เลี้ยงมโนราห์
หลังเสร็จพิธีชาวบ้านได้แยกย้ายกันกลับเหลือเพียงผู้เสียชีวิตทั้ง
3 คน กับเจ้าของบ้าน กระทั่งเหตุการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิดก็เกิดขึ้น
จู่ ๆ นายอภินันท์ เพชรสกุล อายุ 30 ปีลูกชายนางรัชดา
เดินถือปืนเข้ามายิงใส่ทั้งสามคนจนเสียชีวิตคาที่ สำหรับสาเหตุมาจากการไม่พอใจที่โนราเปลื้องมาทำพิธีที่บ้านเพราะคิดว่าเป็น
การหลอกเอาเงิน และเป็นเรื่องงมงาย
ทั้งนี้ก่อนหน้ามือปืนได้สั่งให้หยุดทำพิธีแต่ไม่มีใครฟัง
กระทั่งคืนเกิดเหตุเป็นคืนสุดท้ายเป็นการถอนพิธีทรงมโนราห์
นายอภินันท์เดินทาง กลับมาจากบ้านพักที่ จ.สตูล เมื่อเห็นในบ้านมีพิธีดังกล่าวเกิดอาการเครียดจึงบันดาลโทสะใช้อาวุธปืนบุก
ยิงโนราเปลื้อง พร้อมพี่เลี้ยงจนเสียชีวิตดังกล่าว
ขอขอบคุณ เดลินิวส์
ร่างทรงแห่ร่วมชุมนุมเทพ
เมื่อ เวลา 00.30 น. วันที่ 9 มิ.ย. ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งจากประชาชนในตลาดบ้านแพน
อ.เสนา จ.พระนครศรีอยุธยา ว่าที่บริเวณโรงเรียนเสนาบดี
ซึ่งตั้งอยู่ในเขตเทศบาลเมืองเสนา ซึ่งเป็นย่านชุมชน มีการจัดงานปาร์ตี้
ร่างทรงมีการเปิดเพลงร่ายรำกันสนุกสนาน จึงไปตรวจสอบข้อเท็จจริง
พบว่าบริเวณดังกล่าวมีงานรื่นเริงและเล่นดนตรี มีคนจำนวนกว่า
200 คน แต่งกายในชุดต่าง ๆ คล้ายแฟนซีมาเต้นรำ โดยสังเกตเห็นว่าทุกคนที่มาร่วมงาน
ล้วนแต่งกายคล้ายกับลิเกหรือละคร จากการสอบถามชาวบ้านที่มายืนชมทราบว่าเป็นร่างทรงของเจ้าจากสำนักต่าง
ๆ ที่มาร่วมในงานไหว้ครูของนางกมลวรรณ ขันธวงศ์ ซึ่งเป็นร่างทรงของพระมหาเทพตรีมูรติพระศิวะ
ซึ่งจัดพิธีทำบุญไหว้ครูประจำปี
ขอขอบคุณ เดลินิวส์
อ้างเป็นร่างทรง ต้มเหยื่อ 3 แม่บ้าน
มิจฉาชีพยังหากินคล่อง คราวนี้อ้างตัวเป็นร่างทรง หลอกแม่บ้านให้นำทรัพย์สินมอบให้
อ้างจะทำพิธีปลุกเสกสุดท้ายหลบหนีพากันแจ้งตำรวจตามล่าตัว
เมื่อเวลา 10.30 น.วันที่ 25 พ.ค.นี้ นางจิตรา กันทะลา
อายุ 57 ปี นางมะลิวรรณ มะโนเรือง อายุ 56 ปี และนางหน่อย
วรรณรัตน์ อายุ 56 ปี ทั้งสามเป็นราษฎรในชุมชนดอยสะเก็น
ต.รอบเวียง อ.เมืองเชียงราย พา กันเข้าแจ้งความกับ พ.ต.ท.ดเรศ
กัลยา สารวัตรเวร สภ.เมืองเชียงราย ว่าขอดำเนินคดีกับชายหญิง
2 คน ที่อ้างตัวเป็นร่างทรงหลอกเอาเงินพวกตนไปจำนวนกว่า
1 แสนบาท
โดย นางจิตรา, นางมะลิวรรณ และนางหน่อย ให้การว่า เมื่อเดือน
มี.ค.51 มีชายหญิง 2 คน อ้างตัวว่าชื่อ นายจุฬารัตน์ และนางนันทา
ณ บางช้าง อายุ 50 ปี เท่ากันพากันมาเช่าบ้านอาศัยในชุมชนดอยสะเก็น
ช่วงระหว่างอาศัยทั้ง 2 อ้างตัวเป็นร่างทรง และรับทำบายศรีสู่ขวัญ
และพยายามพูดจาหว่านล้อมชาวบ้านให้มาเป็นลูกศิษย์พวกตนทั้ง
3 หลงเชื่อ ถูกคนทั้ง 2 พูดจาหว่านล้อมชักชวนว่า หากมีทรัพย์สินให้นำมาให้
จะทำพิธีเพื่อให้มีโชคลาภเพิ่มขึ้น ทั้ง 3 หลงเชื่อ จึงยอมเอาทรัพย์สินในตัวมี
แหวนทอง 2 วง สร้อยข้อมือทองคำ 1 เส้น สร้อยคอทองคำ 1
เส้น พระเลี่ยมทอง 1 องค์ สร้อยแขนหยก 1 เส้น เงินสด 21,600
บาท กำไลเงิน 1 วง รวมราคาทรัพย์สินทั้งหมดมูลค่า 1 แสนบาทเศษมอบให้ทั้ง
2 ไปทำพิธี
ปรากฏว่าทั้ง 2 เมื่อได้ทรัพย์สินไปแล้ว ก็นำไปไว้ใต้พระพุทธรูป
โดยอ้างว่าจะทำพิธีปลุกเสก และนัดให้พวกตนทั้ง 3 มารับทรัพย์สินคืนใน
วันที่ 21 พ.ค.นี้ จนถึงวันมารับทรัพย์สิน พวกตนมาหาทั้ง
2 ที่บ้านเช่าพบว่า บ้านปิดประตูเงียบสอบถามพบว่า ทั้ง
2 เก็บทรัพย์สินหนีออกบ้านไปแล้ว จึงแจ้งตำรวจขอ ให้ช่วยติดตามจับกุมมาดำเนินคดีดังกล่าว
ตำรวจ จึงลงบันทึกเอาไว้เป็นหลัดฐาน และจะได้ตามจับตัวแก๊งมิจฉาชีพรายนี้มาดำเนินคดี.
ข่าวจาก ไทยนิวส์
จับร่างทรงหลอกเงินชาวบ้านอ้างพาเข้าวัง
รวบหนุ่มสมุทรสงคราม อ้างตัวเป็นร่างทรง ใช้วิธีดูดวง-ทำขวัญชาวบ้านหลงเชื่อ
แถมปลอมหนังสือสำนักพระราชวังหลอกเอาเงินชาวบ้านกว่า 6
แสนบาท ถึงวันเดินทางกลับหายตัว เจ้าตัวก้มหน้ารับสารภาพ
เผยประวัติมีหมายจับอีกหลายคดี
เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 4 มิถุนายน พล.ต.ต.วิมล เปาอินทร์
ผู้บังคับการกองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดต่อเด็ก เยาวชนและสตรี
(ผบก.ปดส.) สั่งการให้ พ.ต.อ.นิพนธ์ เจริญศิลป์ ผกก.ฝป.1
บก.ป. พ.ต.ต.อณรรฆ ประสงค์สุข สว.ฝป.1 บก.ปดส. พร้อมกำลัง
เข้าจับกุม นายเฉลิมพล ตันชวน อายุ 33 ปี อยู่บ้านเลขที่
66 หมู่ 5 ต.บ้านปรก อ.เมือง จ.สมุทรสงคราม ตามหมายจับศาลจังหวัดเพชรบุรี
ที่ 311/2550 ข้อหาร่วมกันฉ้อโกงประชาชน โดยจับกุมได้บริเวณซอยเสรีไทย
44 แขวงและเขตบึงกุ่ม กทม.
การจับกุมดังกล่าวสืบเนื่องจาก นายเฉลิมพล ซึ่งมีอาชีพรับจ้างทำบายศรีและทำขวัญนาค
ได้ใช้วิธีการเข้าไปทำความรู้จักกับกลุ่มผู้เสียหายในพื้นที่
อ.บ้านลาด จ.เพชรบุรี ด้วยการเข้าไปช่วยสอนทำบายศรี เมื่อรู้จักกลุ่มชาวบ้านดีแล้วจะอ้างตัวว่าเป็นร่างทรงของเสด็จเจ้าพ่อปิยะ
เจ้าพ่อมือเหล็ก หรือฤษีตาไฟ ช่วยดูดวงทำขวัญจนชาวบ้านหลงเชื่อ
และเลื่อมใสศรัทธากันเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ผู้ต้องหายังอ้างว่ารู้จักกับข้าราชการระดับสูงในสำนักพระราชวัง
สามารถพาชาวบ้านเข้าไปทูลเกล้าฯ ถวายเงินในพระบรมมหาราชวังได้
ต่อมา ผู้ต้องหาได้ปลอมหนังสือสำนักพระราชวังว่า อนุญาตให้พาชาวบ้านเข้าพระบรมมหาราชวังเพื่อทูลเกล้าฯ
ถวายเงิน โดยมีชาวบ้านหลงเชื่อกว่า 30 ราย ทุกรายจะต้องบริจาคเงินคนละ
2 หมื่นบาท รวมแล้วเป็นเงินกว่า 6 แสนบาท เมื่อถึงกำหนดวันเดินทางนายเฉลิมพลได้จัดรถบัสมารับกลุ่มผู้เสียหาย
แต่นายเฉลิมพลไม่ได้ร่วมเดินทางมาด้วย เมื่อเดินทางไปถึงพระบรมมหาราชวังจึงทราบว่าถูกหลอกลวง
และไม่สามารถติดต่อนายเฉลิมพลได้ จึงพากันเข้าแจ้งความที่
สภ.บ้านลาด จ.เพชรบุรี ก่อนมีการออกหมายจับกุมดังกล่าว
ภายหลังการจับกุมตำรวจ ปดส.ได้นำตัวมาสอบสวนที่ บก.ปดส.
เบื้องต้นผู้ต้องหาให้การรับสารภาพ แต่จากการตรวจสอบประวัติพบว่าผู้ต้องหารายนี้ยังมีหมายจับกุมของศาลจังหวัด
กาญจนบุรีในความผิดลักษณะเดียวกันนี้อีก 1 หมาย และถูกชาวบ้าน
จ.เชียงราย แจ้งความดำเนินคดีไว้ด้วย จึงนำตัวส่งพนักงานสอบสวน
สภ.บ้านลาด ดำเนินคดีตามหมายจับดังกล่าว และจะได้ประสานตำรวจท้องที่อีกสองแห่งที่ผู้ต้องหามีคดีติดตัวอยู่
เพื่อให้มาอายัดตัวไปดำเนินคดีเพิ่มเติมต่อไป
ขอขอบคุณ คมชัดลึก
แจ้งจับร่างทรง เจ้าอุมาเทวี หลอกทำคุณไสย
ชาวเชียงใหม่กว่า 50 ราย แห่ร้องตำรวจถูกหญิงพม่าอ้างตัวเป็นร่างทรง
เจ้าอุมาเทวี หลอกทำพิธีไสยศาสตร์ โกยเงินหนีนับล้าน แถมหลอกเป็นนายหน้าค้าลำไย
เชิดเงินชาวบ้านหนีในหลายอำเภอ ตร.ประสานหลายท้องที่เร่งล่าตัว
เมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 11 ตุลาคม นายอดิศักดิ์ วงศ์แปง
อายุ 34 ปี อยู่บ้านเลขที่ 219 หมู่ 7 ต.สันทราย อ.พร้าว
จ.เชียงใหม่ เหยื่อคดีฉ้อโกง พร้อมผู้เสียหายจำนวนหนึ่ง
เข้าร้องเรียนต่อ พ.ต.อ.ชำนาญ รวดเร็ว รอง ผบก.ภ.จว.เชียงใหม่
เพื่อให้ตำรวจดำเนินคดีกับ นางนิสาชล อัดธา หรือหวา อายุ
31 ปี ชาวพม่า เนื่องจากมีพฤติการณ์หลอกลวงฉ้อโกง เชิดเงินกว่า
1 ล้านบาทจากชาวบ้าน ไม่ต่ำกว่า 50 ราย โดยอาศัยอยู่ในพื้นที่
อ.สันทราย อ.ฝาง อ.พร้าว และ อ.ดอยสะเก็ด จ.เชียงใหม่
นางพัชรินทร์ อาจหาญ อายุ 24 ปี ผู้เสียหายรายหนึ่ง กล่าวว่า
นางนิสาชลได้ใช้ห้องแถวในเขต อ.สันทราย จ.เชียงใหม่ ตั้งเป็นสำนักทรงเจ้าอยู่กับสามี
อ้างตัวเป็นร่างทรงของเจ้าแม่อุมาเทวี สามารถใช้คุณไสยช่วยรักษาโรคได้ทุกอย่าง
ส่วนชาวบ้านที่ถูกหลอกจะมีทั้งนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ พ่อค้าแม่ค้าเดินทางไปทำพิธียกขัน
พร้อมเสียค่าใช้จ่ายตั้งแต่ 1,000-10,000 บาท ส่วนตนนั้นถูกหลอกให้ทำพิธีถึง
2 ครั้ง โดยนางนิสาชลจะหลอกว่าชะตาถึงฆาต หากไม่ทำพิธีต่ออายุจะถึงขั้นเสียชีวิต
ทำให้ต้องเสียเงินไป 1.1 หมื่นบาท นอกจากนี้ ยังมีผู้เสียหายอีกหลายรายที่ถูกหลอกในลักษณะเดียวกัน
รายล่าสุดเป็นคนไข้โรคมะเร็ง เพิ่งจะเสียชีวิตไปเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา
ญาติจึงมาตามทวงเงินคืน ก็ได้รับการปฏิเสธ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ผู้เสียหายในลักษณะเดียวกันนี้มีมาจากหลายต่างอำเภออีกหลายสิบคน
บางรายถูกหลอกเชิดเงินไปในรูปแบบของการเป็นนายหน้าค้าลำไย
เมื่อนำสินค้าไปให้กลับถูกเชิดเงินที่ขายได้ทั้งหมดไป
นอกจากนี้ ยังมีสินค้าประเภทอื่นอีก เช่น หลอกขายสินค้าประเภทธัญพืชไฟเบอร์แล้วเชิดเงินหนี
เชื่อว่าจะยังมีเจ้าทุกข์อีกหลายรายที่ยังไม่ได้เข้ามาแจ้งความดำเนินคดี
ที่ถูกฉ้อโกงในลักษณะเดียวกันอีก
พ.ต.อ.ชำนาญ รวดเร็ว รอง ผบก.ภ.จว.เชียงใหม่ กล่าวว่า
จากการสอบถามรายละเอียดของผู้เสียหายทุกรายที่เข้ามาร้องเรียน
และหลายรายไปแจ้งความดำเนินคดีกับผู้ต้องหาไว้ตามสถานีตำรวจในแต่ละท้องที่
ที่เกิดเหตุแล้ว เบื้องต้นประสานให้ พ.ต.อ.อรรถสิทธิ์
หลาวทอง ผกก.สภ.อ.สันทราย ควบคุมตัวนางนิสาชลไว้และแจ้งข้อกล่าวหาหลบเข้าเมืองโดยไม่ได้รับอนุญาตไว้
ก่อน
นอกจากนี้ จะประสานกับพนักงานสอบสวนทุกโรงพักที่เกี่ยวข้องให้กำหนดเป็นการสอบสวนคดี
ร่วม ซึ่งขณะนี้ ผกก.สภ.อ.สันทราย ได้ทำเรื่องออกหมายค้นตรวจสอบที่สำนักทรงเจ้าซึ่งเป็นบ้านพักของนางนิสาชล
เพื่อหาพยานหลักฐานเพิ่มเติมแล้ว เพื่อที่จะแจ้งข้อกล่าวหาฉ้อโกงประชาชนต่อไป
ขอขอบคุณ คมชัดลึก
ซาเล้งเฒ่าจิตทราม!อ้างเป็นร่างทรงลวงขยี้กามเด็กนับสิบ
เมื่อเวลา 22.30 น.วานนี้( 18 พ.ค.)ผู้ปกครองของ ด.ญ.
เอ (นามสมมุติ) อายุ 12 ปี ,ด.ญ.บี (นามสมมุติ) อายุ 10
ปีและด.ช.ซี (นามสมมุติ) อายุ 13 ปี เดินทางเข้าพบ ร.ต.ต.สุนทราพร
จาตูม ร้อยเวรสอบสวน สภ.อ.เมือง จ.สมุทรปราการ เพื่อแจ้งความดำเนินคดีกับ
นายพร พรหมจิตต์ หรือนายเปี๊ยก อายุ 58 ปี อยู่บ้านเลขที่
66/26 ม.4 ซ.นารถสุนทร 18 ต.บางเมืองใหม่ อ.เมือง จ.สมุทรปราการ
ในข้อหาข่มขืนกระทำชำเรา
จากการสอบสวน เด็กทั้งหมดให้การตรงกันว่านายเปี๊ยก เป็นเจ้าเข้าทรงหลวงปู่ชัยมงคล
ก่อนหน้านี้ นายเปี๊ยกเป็นคนใจดีชอบเลี้ยงขนมเด็กในชุมชนซ.นารถสุนทร
กระทั่งมีเด็กในชุมชนมาหาเป็นจำนวนมาก และเมื่อนายเปี๊ยกเข้าทรงหลวงปู่ชัยมงคล
มักจะบอกว่าเด็กในชุมชนมีเคราะห์ บ้างก็ว่ามนต์ดำเข้า
ต้องทำพิธีสะเดาะเคราะห์ แล้วแต่ว่าใครจะมีเคราะห์มากเคราะห์น้อย
อย่างด.ญ.เอ ต้องสะเดาะเคราะห์นอนกับหลวงปู่ จำนวน 10
ครั้ง ด.ญ.บี ต้องสะเดาะเคราะห์ ครั้งจำนวน 28 ครั้ง และด.ช.ซี
ต้องถูกสะเดาะเคราะห์ โดยให้นายพร กระทำชำเราทางประตูหลังจำนวน
1 ครั้ง และยังหลอกเด็กอื่นๆ ในชุมชนไปกระทำข่มขืนกระทำชำเราในลักษณะเดียวกัน
หลายสิบราย ไม่เว้นแม่แต่หลานของนายพรเอง
นอกจากนี้เมื่อทำพิธีสะเดาะเคราะห์เสร็จแล้ว นายพรก็จะหลอกให้เด็กทั้งหมดไปขโมยเสื้อ
และกางเกงชั้นในของแม่เด็กมาให้หลวงปู่สูดดม และห้ามบอกไม่ให้บอกใครอย่างเด็ดขาดไม่เช่นนั้นเคราะห์จะกลับมาอีก
เบื้องต้น ตำรวจได้ส่งตัวเด็กทั้ง 3 คน ไปทำการตรวจร่างกายที่
รพ. สมุทรปราการ จากนั้นได้ประสานนายสุชาติ ทองหีต พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดสมุทรปราการ
และนักสังคมสงเคราะห์เข้ามาทำการร่วมสอบปากคำเด็กพร้อมกับอัยการ
เพื่อเร่งออกหมายจับนายพรมาดำเนินคดีให้เร็วที่สุด
ต่อมา พ.ต.ท.สานิตย์ โพธิพรหม รองผกก.สส.สภ.อ.เมืองสมุทรปราการ
พ.ต.ท.ณรงค์ชัย ฉายแสง สว.สส.นำกำลังตำรวจชุดสืบสวนไปทำการตรวจค้นบ้านของนายพร
ทราบว่านายพรมีอาชีพหาของเก่า และได้หลบหนีไปก่อนที่จะตำรวจจะมาถึง
ทางตำรวจจึงทำการค้นภายในบ้านปรากฏว่าพบหนังสือ และซีดี
ลามกอนาจารเป็นจำนวนมาก
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะที่พนักงานสอบสวนทำการสอบปากคำเด็กทั้ง
3 คน อยู่นั้นได้มี ผู้ปกครองของเด็กหญิงอายุ 6 ขวบ มาแจ้งความดำเนินคดีกับนายเปี๊ยกว่ากระทำอนาจารบุตรสาว
และยังบอกว่ามีผู้ปกครองหลายคนที่ไม่กล้ามาแจ้งความเพราะกลัวอับอาย
บางคนได้เคยไปต่อว่านายเปียก แต่นายเปี๊ยก อ้างว่าตัวเองไม่รู้เรื่องเพราะหลวงปู่ชัยมงคลที่ประทับทรงเป็นคนทำ
ขอขอบคุณ ผู้จัดการ
ทรง "พระเจ้าตาก" แฉแต่งตัวเลียนแบบ
เปิดสำนักตุ๋นชาวบ้าน
พบหนุ่มอ้างเป็นร่างทรงพระเจ้าตากสิน แถมแต่งชุดเลียนแบบ
เปิดตำหนักหลอกเงินชาวบ้าน ทั้งรับสะเดาะเคราะห์ ดูดวง
รวมถึงมนต์ดำทุกชนิด ระหว่างทำพิธียังซดเหล้าขาวแกล้มมะขามเปียก
ทำตัวสั่นสร้างความน่าเชื่อถือ ตร.ประกบพบเข้าข่ายต้มตุ๋นและอาจหมิ่นเบื้องสูง
แต่ยังจับไม่ได้อ้างไม่มีผู้เสียหาย พบประวัติเป็นตำรวจบ้านแถวฝั่งธนฯ
การเข้าเจ้าเข้าทรงอยู่ควบคู่กับสังคมไทยมาเป็นเวลานาน
ล่าสุด "คม ชัด ลึก" ได้รับการร้องเรียนจากชาวบ้านกลุ่มหนึ่ง
ถึงพฤติกรรมของบุคคลที่อ้างตัวเป็นร่างทรงสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช
หลอกเอาเงินชาวบ้านที่หลงเชื่อ จากการตรวจสอบพบตำหนักของร่างทรงนั้น
เป็นบ้านไม้ใต้ถุนสูง ห่างจากถนนสุขสวัสดิ์เข้าไปประมาณ
50 เมตร ปากซอยเข้าบ้านติดกำแพงปั๊มน้ำมัน ปตท.ใกล้กับซอยสุขสวัสดิ์
31
บริเวณหน้าบ้านตั้งแท่นบวงสรวงมีรูปปั้นสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงม้า
ลักษณะเดียวกับพระราชานุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าตากสินที่ประดิษฐานอยู่ที่วง
เวียนใหญ่ วางอยู่กลางแท่นบวงสรวง นอกจากนี้ ยังมีป้ายหินอ่อนแกะตัวหนังสือสีทองระบุว่า
ตำหนักของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ภายในบ้านมีผู้อยู่อาศัย
8 คน เป็นผู้หญิง 4 คน เด็ก 3 คน และนายเปี๊ยก ผู้ที่อ้างตัวเป็นร่างทรง
ก่อนการเข้าตรวจสอบบ้านพักหลังนี้ นายสมชาย ซึ่งมีบ้านพักอยู่ในละแวกดังกล่าว
แจ้งให้ทีมข่าว "คม ชัด ลึก" ทราบว่า นายเปี๊ยก
อ้างตัวเป็นร่างทรงพร้อมยกตัวว่าหยั่งรู้ฟ้าดิน สามารถช่วยเหลือผู้ที่เดือดร้อนได้ทุกเรื่อง
หากใครมีเคราะห์ก็จะทำพิธีสะเดาะเคราะห์เสริมดวงชะตาให้
รวมทั้งยังรับทำพิธีทางไสยศาสตร์ต่างๆ อีกหลายอย่าง ทุกครั้งที่ทำพิธีประทับทรง
นายเปี๊ยกจะเรียกเก็บเงินค่ายกครู ในอัตราตั้งแต่ 100
บาท ไปจนถึง 1,000 บาท แล้วแต่ความยากง่ายในเรื่องที่ผู้เดือดร้อนเข้าไปขอให้ช่วย
ทุกวันจะมีประชาชนโดยเฉพาะผู้หญิงวัยทำงาน หมุนเวียนเข้าไปหาร่างทรงรายนี้อยู่เป็นประจำ
นายสมชาย ให้รายละเอียดด้วยว่า ก่อนหน้านี้ตนมีเรื่องทะเลาะกับภรรยา
มีความทุกข์ใจเป็นอย่างมาก ไม่รู้จะหันไปพึ่งใคร จึงเข้าไปให้นายเปี๊ยก
ทำพิธีสะเดาะเคราะห์ให้
"ตอนนั้นภรรยาหนีไป ไม่รู้ไปไหน ตามหาทุกที่ก็ไม่เจอ
ผมจึงขอให้ช่วยนั่งทางในตามหาให้ เขาเก็บเงินผมทันที 100
บาท อ้างว่าเป็นค่าครู ขณะทำพิธีเขาแต่งองค์ทรงเครื่องเหมือนกับภาพถ่ายของสมเด็จพระเจ้า
ตากสินมหาราชไม่มีผิดเพี้ยน โดยแทนตัวเองว่าพ่อตลอดการสนทนา
และนำประวัติศาสตร์สมัยตอนปลายกรุงธนบุรีมาพูดคุยกับผม
ซึ่งข้อความที่เขาพูดออกมาไม่เหมาะสมอย่างยิ่งเพราะมีการกล่าวพาดพิงถึง
รัชกาลที่ 1 ในทางไม่ดีด้วย" นายสมชาย กล่าว
นายสมชาย กล่าวต่อว่า ระหว่างเข้าทรงนายเปี๊ยกบอกว่า
ภรรยาของตนหนีไปกับชู้ ไปอยู่ต่างจังหวัดห่างไกล และจะไม่กลับมาหาตนอีก
แต่หากอยากได้ภรรยากลับคืนมา ก็จะส่งทหารเอกไปตามกลับมาให้
"ตอนแรกผมเชื่อทันทีและรู้สึกเกลียดภรรยามาก แต่พอผมกลับถึงบ้าน
ก็พบภรรยากำลังทำกับข้าวอยู่ในครัว ภรรยาบอกว่าช่วงที่โกรธเขาไปอยู่กับแม่ผมที่ดอนเมือง
ไม่ได้ไปไหนกับใคร เพียงแต่บอกกับแม่ไม่ให้บอกผมเท่านั้น"
นายสมชาย กล่าว
นายสมชาย กล่าวว่า ครอบครัวตนเกือบแตกแยกถึงขั้นหย่าร้าง
ทั้งที่ความเป็นจริงแล้วไม่ได้เป็นอย่างที่นายเปี๊ยกระบุระหว่างการเข้าทรง
แต่อย่างใด จึงเชื่อว่าที่ผ่านมาคงมีผู้เดือดร้อนจากการกระทำของนายเปี๊ยกมาแล้วหลายราย
เพราะเท่าที่สังเกตแทบทุกวันจะมีชาวบ้านหลายรายเข้าไปให้บุคคลผู้นี้ทำพิธี
ทางไสยศาสตร์
ข้อมูลที่ได้จากนายสมชาย สอดคล้องกับสิ่งที่ทีมข่าว "คม
ชัด ลึก" เข้าไปพบกับตัวเอง ขณะเข้าตรวจสอบพบมีหญิงวัย
30 ปีเศษ เข้าไปให้นายเปี๊ยก ทำพิธีสะเดาะเคราะห์ให้ ซึ่งห้องทำพิธีอยู่ด้านในของตัวบ้าน
ภายในห้องดังกล่าวแบ่งซอยออกเป็น 3 ห้องเล็ก โดยห้องโถงกลางมีชั้นวางรูปปูนปั้น
เป็นรูปสมเด็จพระเจ้าตากสินทรงม้า รูปปั้นกุมารทอง และรูปปั้นสมเด็จพระพุฒาจารย์
(โต) และพระพุทธรูป รวมถึงรูปปั้นหญิงชายสวมชุดไทยสมัยโบราณ
วางอยู่เต็มห้อง ที่ฝาผนังมีพระบรมฉายาลักษณ์สมเด็จพระเจ้าตากสินขนาดใหญ่แขวนอยู่
ห้องเล็กด้านหลังเป็นห้องสำหรับแต่งตัว โดยมีเสื้อผ้าชุดไทยหลายชุดแขวนอยู่
ซึ่งห้องดังกล่าวทีมข่าว "คม ชัด ลึก" ไม่สามารถเข้าไปภายในได้
ทำได้เพียงสังเกตจากระยะไกลเท่านั้น
ส่วนอีกห้องเป็นห้องเล็กๆ ขนาดความกว้างประมาณ 2 คูณ
3 เมตร มีเก้าอี้ปูด้วยพรมลายเสือวางอยู่กลางห้อง ซึ่งห้องดังกล่าวนายเปี๊ยกใช้สำหรับทำพิธีเข้าทรง
ระหว่างทำพิธี นายเปี๊ยกสวมชุดเลียนแบบพระบรมฉายาลักษณ์สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช
ใช้ดาบขนาดเล็กกวัดไกวไปตามลำตัว ตัวสั่นเทา ก่อนจะสงบเงียบ
ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเทา เพื่อให้แตกต่างจากน้ำเสียงเดิม
จากการสังเกตพบว่า ระหว่างที่นายเปี๊ยกทำพิธีสะเดาะเคราะห์ให้หญิงสาวรายนี้
จะดื่มเหล้าขาว แกล้มกับมะขามเปียก และสูบบุหรี่ทีเดียวกันหลายมวน
และจะพยายามถามหญิงสาวและผู้สื่อข่าว ที่นั่งอยู่ไม่ห่างจากหญิงสาวรายนี้มากนักอยู่ตลอดว่า
หน้าเหมือนกับพระบรมฉายาลักษณ์สมเด็จพระเจ้าตากสินที่แขวนอยู่บนฝาผนังเหนือ
เก้าอี้ที่นายเปี๊ยกนั่งอยู่หรือไม่
หลังทำพิธีจบ นายเปี๊ยก ได้เรียกค่าทำพิธีจากหญิงสาวรายนั้น
399 บาท และยังบอกด้วยว่าหลังจากนี้หากชีวิตดีขึ้น ก็ให้หมั่นมาทำบุญที่ตำหนักบ่อยๆ
ผลบุญจะได้ช่วยเสริมดวงชะตา
จากพฤติกรรมของนายเปี๊ยก ทีมข่าว "คม ชัด ลึก"
จึงประสานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ต่อมา พ.ต.อ.ไกรเลิศ บัวแก้ว
ผกก.สน.ราษฎร์บูรณะ รับทราบข้อมูล จึงส่งชุดสืบสวนเข้าตรวจสอบพฤติกรรมนายเปี๊ยกทันที
พ.ต.อ.ไกรเลิศ เปิดเผยว่า จากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่านายเปี๊ยก
เป็นอาสาสมัครตำรวจบ้านในพื้นที่รับผิดชอบ รู้จักตำรวจในท้องที่หลายคน
จึงส่งทีมสืบสวนที่ไม่ค่อยคุ้นหน้าคุ้นตาเข้าไปตามประกบนายเปี๊ยกถึงบ้านพัก
ที่ทำเป็นตำหนักสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช "มีการอ้างตัวเป็นร่างทรงสมเด็จพระเจ้าตากสินจริง
และมีพฤติกรรมเข้าข่ายหลอกลวงประชาชน แต่ขณะนี้ยังไม่มีเจ้าทุกข์เข้าแจ้งความดำเนินคดี
ตำรวจจึงยังไม่สามารถจับกุมได้ จึงอยากร้องขอให้ประชาชนที่เคยถูกนายเปี๊ยกหลอกลวงเข้าแจ้งความกับตำรวจโดย
ด่วนเพื่อดำเนินการจับกุมต่อไป ส่วนคำพูดของนายเปี๊ยก
ที่กล่าวอ้างถึง สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช และรัชกาลที่
1 คงต้องตรวจสอบอย่างละเอียดเพื่อพิจารณาว่าเข้าข่ายหมิ่นเบื้องสูงหรือไม่"
พ.ต.อ.ไกรเลิศ กล่าว
ขอขอบคุณ คมชัดลึก
อ้างเป็นร่างทรงย่าโมตุ๋นอดีตข้าราชการครูสูญ
6 ล้าน
เมื่อเวลา 13.30 น.วันที่ 1 เมษายน 52 น.ส.เบญญาภา แผ่วสูงเนิน
อายุ 58 ปี บ้านเลขที่ 34 / 1 ซ.ชื่นฤดี ชุมชนราชนิกูล
ต.ในเมือง อ.เมือง จ.นครราชสีมา ข้าราชการบำนาญ อดีตอาจารย์
2 ระดับ 7 โรงเรียนวัดสระแก้ว ต.ในเมือง อ.เมือง จ.นครราชสีมา
เข้าร้องเรียนกับผู้สื่อข่าวว่า ถูกสองสามีภรรยา อ้างตัวเป็นร่างทรงของท่านท้าวสุรนารี
หรือย่าโมวีรสตรีที่ชาวโคราชให้ความเคารพนับถือ มาทักท้วงให้ต่อชะตาชีวิตด้วยการทำบุญใหญ่สร้างเศวตฉัตรและตุงถวาย
ก่อนที่จะอาศัยความไว้เนื้อเชื่อใจหลอกเป็นผู้จัดการทรัพย์สินทุกอย่าง
ทั้งบ้านที่ดิน และเงินในบัญชีธนาคารรวมมูลค่ากว่า 6 ล้านบาท
เชิดเอาเป็นทรัพย์สินส่วนตัวทั้งหมด
น.ส.เบญญาภา กล่าวว่า ได้เข้าแจ้งความร้องทุกข์ กับ พ.ต.ท.ถาวร
เหล่าโพธิ์ ตำรวจสภ.เมืองนครราชสีมา เมื่อวันที่ 9 ก.พ.ที่ผ่านมา
โดยตำรวจได้ออกหมายเรียกแต่ไม่มา จึงนำหมายจับเข้าค้นตำหนักทรงเจ้า
ต.ในเมือง อ.เมือง จ.นครราชสีมา แต่ไม่มีใครอยู่และสืบทราบว่าได้สร้างตำหนักแห่งใหม่ขึ้นที่
ต.สุรนารี อ.เมือง อีกแห่งหนึ่ง จึงนำกำลังเข้าตรวจสอบแต่ก็ไม่พบตัวเช่นกัน
กระทั่งช่วงบ่ายวันที่ 31 มี.ค.52 ผู้ต้องหาทั้ง 2 ราย
ได้เข้ามอบตัวพร้อมปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา โดยขอให้การในชั้นศาลเท่านั้น
ก่อนที่จะใช้ตำแหน่งข้าราชการของญาติ และหลักทรัพย์จำนวน
4 แสนบาทมาประกันตัว ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ตำรวจอนุญาตให้ประกันตัวไป
น.ส.เบญญาภา เล่าว่า ทั้งสองคนเปิดตำหนักร่างทรงย่าโมอยู่ใกล้บ้าน
เมื่อปลายปี 2549 มารดานำเงินขายที่ 4 ล้านบาทมาแบ่งให้
คาดว่าทั้งสองคนคงทราบเรื่องจึงเข้ามาตีสนิท ทักว่าจะสิ้นอายุขัย
ด้วยความที่เป็นโรคภูมิแพ้สุขภาพร่างกายไม่แข็งแรง เข้าออกโรงพยาบาลบ่อยๆ
จึงเชื่อ เมื่อบอกว่าให้ทำบุญใหญ่สะเดาะเคราะห์ด้วยการสร้างเศวตฉัตรและตุงถวายย่าโม
ก็รีบทำตามและคิดไปเองว่าอาการดีขึ้น
จากนั้นไปคลุกคลีกับครอบครัวคนทรงเจ้ามาเรื่อยๆ และทำบุญช่วยเหลือเป็นเงินนับ
2 แสนบาท คนในครอบครัวเตือนอย่างไรก็ไม่ฟัง จนตัดขาดออกจากกองมรดก
สองสามีภรรยาก็ได้มาบอกว่ามีเคราะห์อีกแต่จะต่อชะตาให้
ซึ่งต้องนำเงินและทรัพย์สินทั้งหมดมาฝากให้ร่างทรงย่าโมเป็นคนดูแล
เพื่อที่จะได้คอยนำเงินมาใช้จ่ายรักษายามที่ป่วยไข้ขึ้นอีก
ก็หลงเชื่อและนำทรัพย์สินทั้งหมดทั้งเงินในธนาคาร จำนวนกว่า
1.5 ล้านบาท สลากออมสินพิเศษอีก 2 แสนบาทก็ทำการเปลี่ยนแปลงบัญชีให้นางศุมิตรา
มีชื่ออยู่ในบัญชีและมีสิทธิ์ถอนเงินในบัญชีไปได้ และให้สมุดบัญชีไปด้วย
นอกจากนี้ยังมีเงินกู้สหกรณ์ครูอีก จำนวน 250,000 บาท
และเงินกู้จากที่ต่างๆอีกกว่า 5 แสนบาท รวมถึงตนเองยังได้ยอมยกโฉนดที่ดินและบ้านที่ตนเองอาศัยอยู่ปัจจุบันให้เป็น
ชื่อของร่างทรงทั้งหมด รวมมูลค่าทรัพย์สินทั้งหมดกว่า
6 ล้านบาท นอกจากนี้ยังได้ทำพินัยกรรมยกทรัพย์สินทั้งเงินประกันต่างๆให้ทั้งหมด
ด้วยความไว้เนื้อเชื่อใจ
แต่เมื่อวันที่ 3 ก.พ.ที่ผ่านมามีอาการป่วยกำเริบและต้องนอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลต้องจ่าย
ค่ารักษาพยาบาลจำนวนกว่า 40,000 บาท จึงได้โทรศัพท์ไปบอกร่างทรงให้นำเงินมาจ่าย
แต่ร่างทรงบอกว่าเงินในบัญชีหมดแล้ว หากต้องการเงินก็ให้ขายบ้านไปจ่าย
จึงรู้ตัวว่าถูกหลอก รีบเข้าแจ้งความดำเนินคดี
พ.ต.ท.ถาวร เจ้าของคดีกล่าวว่า เมื่อวันที่ 31 มี.ค.
ผู้ต้องหาทั้ง 2 รายพร้อมทนายความได้มาติดต่อขอเข้ามอบตัว
โดยปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา และไม่ขอให้ข้อมูลอะไรในชั้นพนักงานสอบสวน
ขอให้การในชั้นศาล ก่อนที่จะนำตำแหน่งข้าราชการของญาติและหลักทรัพย์
จำนวน 4 แสนบาทมาประกันตัว ซึ่งได้อนุญาตไป และได้ส่งเรื่องให้ทางอัยการดำเนินการฟ้องร้องตามขั้นตอนแล้ว
ขอขอบคุณ คมชัดลึก
จับร่างทรงสาว เปิดสำนักพิลึก ร่วมกับ"พระลาว"
ตั้งตนเป็น"เจ้าปู่"
ตร.อุดรฯ บุกรวบพระลาวกับ สาวไทยเปิดบ้านตั้งตนเป็นคนทรงเจ้า
"หลวงปู่หนองจอก" หลังได้รับการร้องเรียนสงสัยหลอกลวงต้มตุ๋น
คุมตัวมาสอบ ฝ่ายหญิงอ้างศึกษาธรรมะ ดูดวงชะตา นั่งสมาธิจนเข้าทรงได้
กระทั่งไปเจอรู้จักกับพระลาว เลยชวนมาอยู่ที่บ้าน เปิดเป็นสำนัก
คอยให้คำปรึกษาและจัดคิว ส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงจะมาบนบานขอให้ได้ผัวฝรั่ง
ไปทำงานต่างประเทศ คนที่สมหวังเลยจัดมหรสพมาแก้บนเกือบทุกคืน
เบื้องต้นเอาผิดได้แค่ข้อหาให้ที่พักพิงต่างด้าว ส่วนคดีต้มตุ๋นต้องรอให้เจ้าทุกข์มาแจ้ง
เมื่อ เวลา 18.00 น. วันที่ 7 ม.ค. พล.ต.ต.สรศักดิ์ เย็นเปรม
ผบก.อุดรธานี ได้รับการร้องเรียนว่า ที่บ้านเลขที่ 124/1
หมู่ 4 บ้านหนองฮาง ต.เชียงพิณ อ.เมือง จ.อุดรธานี ดัดแปลงบ้านพักเป็นอาศรม
มีร่างทรงเป็นคนไทย และมีพระลาว เป็นที่ปรึกษาด้านคาถาอาคม
น่าจะเป็นการหลอกลวงต้มตุ๋น และกลางคืนยังมีมหรสพอยู่กลางทุ่งนาท้ายหมู่บ้าน
บริเวณศาลเจ้าปู่หนองจอก สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของหมู่บ้าน
หลังได้รับการร้องเรียนจึงสั่งการให้ พ.ต.ท.ณัฐนนท์ ประชุม
รองผกก.กลุ่มงานสืบสวนภูธร จ.อุดรธานี และ พ.ต.ต.ชาญณรงค์
มากพิสุทธิ์ สว.กลุ่มงานสืบสวน นำกำลังตำรวจเข้าตรวจสอบ
เมื่อ ไปถึงพบว่าบ้านหลังดังกล่าวเป็นบ้าน 2 ชั้น ชั้นล่างเป็นคอนกรีต
ชั้นบนเป็นไม้แบบเรือนไทยภาคอีสาน มีห้องพระ ตั้งโต๊ะหมู่บูชา
จุดธูปเทียน ควันฟุ้งไปทั่วห้อง มีร่างทรงเป็นหญิงสาวสวมชุดขาวทำพิธีกรรมไหว้พระอยู่ในห้อง
สอบถามทราบชื่อว่านางพิมล พิมพ์สกุล อายุ 48 ปี เป็นเจ้าของบ้าน
และในห้องพระบริเวณชั้น 2 ด้านหลังสุดของตัวบ้าน มีพระภิกษุพักอาศัยอยู่
ตรวจสอบทราบชื่อว่า พระพุทธสอน ละครคำ อายุ 36 ปี เป็นพระลูกวัดจากวัดป่าหนองโมง
ต.ด่านช้าง อ.บัวใหญ่ จ.นครราชสีมา และยังพบหนังสือเดินทางของประเทศลาว
ระบุชื่อ นายพุทธสอน ละครคำ อายุ 36 ปี อยู่บ้านหนองแต่ง
เมืองสีโคตรตะบอง แขวงกำแพงนครเวียงจันทน์ ประเทศลาว
จาก การสอบสวนนางพิมลให้การว่า ก่อนหน้านี้แต่งงานอยู่กินกับนายสามารถ
พิมพ์สกุล เป็นนายช่างอยู่องค์การโทรศัพท์อุดรธานี ประมาณ
7 ปีที่ผ่านมา ป่วยเป็นโรคเนื้องอกในมดลูก ได้รับการผ่าตัดแต่ไม่ทุเลา
จึงตัดสินใจไปทำบุญตามวัดต่างๆ กระทั่งไปพบพระพุทธสอน
ที่วัดโคกหัวโพธิ์ อ.โพนพิสัย จ.หนองคาย เมื่อประมาณ 2
ปีที่ผ่านมา เนื่องจากศึกษาธรรมะ ดูดวงชะตา นั่งสมาธิ
เข้าทรงกับเจ้าปู่ได้ จึงชักชวนกันมาอยู่ที่บ้านพัก โดยให้เป็นที่ปรึกษาคอยจัดคิวผู้ที่ต้องการมาเข้าทรง
อีกทั้งพระพุทธสอน มีความรู้เรื่องช่างไฟฟ้า และก่อสร้าง
จึงมาควบคุมการต่อเติมบ้านให้ด้วย และอยู่ด้วยกันมาประมาณ
1 ปี ตนพักอยู่ชั้นล่างกับญาติๆ ส่วนสามีไปๆ มาๆ ที่บ้าน
ส่วนพระอยู่ที่ชั้น 2 ในห้องพระ ใกล้กับห้องที่ใช้เป็นร่างทรง
นาง พิมล ให้การต่อว่า แต่ละวันจะมีชาวบ้านที่มาขอช่วยให้เป็นร่างทรงของหลวงปู่หนองจอก
ที่สิงสถิตอยู่บริเวณท้ายหมู่บ้าน ใครมาบนบานขออะไรก็ได้ดั่งใจ
เลยมีคนมาบนบานกันทุกวัน ส่วนมากแล้วจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับการเดินทางไปทำงานที่ต่างประเทศ
เมื่อข่าวแพร่สะพัดออกไปก็มีคนมาขอให้เป็นร่างทรง ขอหลวงปู่ให้ได้สามีเป็นชาวต่างประเทศ
หลายคนได้สามีชาวต่างประเทศ มีฐานะดีขึ้น จะมาแก้บนด้วยการจ้างหมอลำ
มาแสดงให้ชาวบ้านดูกันที่บริเวณใกล้ศาลหลวงปู่หนองจอก
โดยเรียกเก็บค่าเข้าทรงเพียงครั้งละ 24 บาท จะมีดอกไม้ธูปเทียนบูชา
ด้าน พระพุทธสอน ให้การว่า เดิมบวชอยู่ที่ประเทศลาว ที่วัดบ้านหนองด้วง
และเดินทางเข้ามาประเทศไทยเมื่อ 3 ปีที่ผ่านมา บวชที่วัดป่าประชาธรรมนิคม
ต.ด่านช้าง อ.บัวใหญ่ จ.นครราชสีมา แต่ไปจำพรรษาที่วัดป่าหนองโมง
อยู่ใกล้ๆ กัน รู้จักกับนางพิมลมาประมาณ 2 ปี จึงชวนมาอยู่ด้วย
โดยนางพิมลทำหน้าที่เป็นร่างทรงปู่หนองจอก
พ.ต.ท.ณัฐนนท์ เปิดเผยภายหลังการสอบสวนว่า ในเบื้องต้นแจ้งข้อหาให้ที่พักพิงคนต่างด้าว
แก่นางพิมล ส่วนพระพุทธสอนแจ้งข้อหาเป็นคนต่างด้าวสัญชาติลาวพักอาศัยอยู่ในราชอาณาจักร
ไทย เกินกว่าเวลากำหนด ส่วนเรื่องบวชถูกต้องหรือไม่นั้น
คงต้องตรวจสอบอีกที และเรื่องเข้าข่ายการหลอกลวงต้มตุ๋นหรือไม่นั้น
จะต้องมีผู้เสียหายมาแจ้งความดำเนินคดี จึงจะดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายได้
ขอขอบคุณ ข่าวสด
|