พระพิฆเณศ
รูปพระพิฆเนศ
คลิกที่นี่เพื่อกลับไปหน้าแรกพระพิฆเนศ
ตอบคำถามเรื่องร่างทรง จากเว็บ Aromamodaka.com
โดย อ.กิตติ วัฒนะมหาตม์
เราขอขอบคุณมา ณ ที่นี้

สวัสดีค่ะอาจารย์กิตติ หนูเพิ่งเข้ามาดูเว็บของอาจารย์เมื่อปลายปีที่ผ่านมานี้เองค่ะ เกี่ยวกับตำหนักทรงองค์เทพต่างๆ พอได้อ่านการตอบจดหมายของอาจารย์ก็เท่ากับเป็นการไขข้อข้องใจที่มีมานาน ซึ่งหนูไม่มีความเชื่อถือในเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว คือหนูก็เคยคิดมานานแล้วน่ะค่ะว่าองค์เทพองค์พรหม หรือสมเด็จพระนเรศวรมหาราช สมเด็จพระเจ้าตากสิน เสด็จพ่อร.๕ ท่านสูงส่งขนาดนั้นจะมาอาศัยร่างมนุษย์ซึ่งบางคนก็ดูเพี้ยนๆ บ้าๆบอๆ หรือทำอย่างที่ผู้ดีเขาไม่ทำเช่นการสูบบุหรี่ทีละหลายๆ มวนแล้วก็พูดจาเหมือนพวกลิเก ใช้คำราชาศัพท์ผิดตลอด (หนูรู้เรื่องนี้ดีค่ะยายหนูเป็นข้าหลวงในวังมาก่อน) ยิ่งบางคนที่แต่งตัวแบบแขกเลียนแบบองค์เทพเทวีต่างๆ ยังกับตัวเป็นองค์เทพเทวีนั้นๆ เสียเอง สุดท้ายก็กลายเป็นอย่างที่อาจารย์ว่าไว้ว่าคือไม่มีองค์เทพอะไร มีแต่ผี แต่ว่าคนที่ทำอย่างนี้ (คือมีผีมาใช้ร่างแล้วแอบอ้างเป็นองค์เทพต่างๆ) หนูสงสัยว่าเขายังทำกันอยู่ได้อย่างไร สิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่ลงโทษเขาให้มีอันเป็นไปต่างๆ นานาหรือคะ หนูขอรบกวนอาจารย์กิตติช่วยอธิบายเพิ่มเติมในเรื่องนี้ด้วยน่ะค่ะ

อ.กิตติ วัฒนะมหาตม์ : ดูจากจดหมายของคุณ คุณเป็นคนที่มีความคิดและวิจารณญาณที่ดี เพราะฉะนั้นจึงไม่มีใครที่จะมาหลอกคุณให้หลงผิดเชื่อผิดในเรื่องอย่างนี้ได้ ผมยินดีเสมอที่ได้อ่านความคิดเห็นของคนแบบคุณ

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากคำถามของคุณพอสรุปได้ว่า เหตุใดสิ่งศักดิ์สิทธิ์จึงไม่ลงโทษคนเหล่านี้ ดังนั้นผมจะตอบคุณใน ๒ ประเด็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ คือเรื่องของเทพ และเรื่องของผี

การที่ใครสักคนจะได้ชื่อว่าเป็นเทวะ เทพเจ้า หรือเทวดา ตามแต่จะเรียกกันนั้น คุณสมบัติขั้นพื้นฐานที่จะต้องมีอยู่อย่างสมบูรณ์ คือ พรหมวิหาร ๔ อันประกอบด้วย เมตตา กรุณา มุทิตา และอุเบกขา คุณจะเห็นว่า คุณสมบัติทั้ง ๔ ประการนี้ ไม่มีข้อไหนบอกให้คุณใช้อำนาจบารมีส่วนตัวของคุณลงโทษ ทำให้ใครได้รับทุกขเวทนา หรือสั่งสอนผู้หนึ่งผู้ใดตามอำเภอใจ แม้คนคนนั้นจะทำในสิ่งที่เลวร้ายหรือทำให้คุณไม่พอใจอย่างใดก็ตาม สิ่งที่คุณพึงกระทำต่อผู้นั้นในฐานะที่คุณเป็นใหญ่กว่าเขา ก็คือ อุเบกขา นั่นคือคุณธรรมที่จะทำให้คุณได้เป็นเทวะ

แต่ถ้าคุณยังใช้อารมณ์ส่วนตัว อันประกอบด้วยโลภ โกรธ หลง เป็นใหญ่ ใครทำอะไรให้คุณไม่พอใจ หรือขัดกับเจตจำนง ทัศนคติ หรือจริยธรรมส่วนตัวของคุณ คุณก็ใช้อำนาจที่เหนือกว่าลงโทษเขา หรือทำร้ายรังแกให้เขาได้รับความวิบัติ มีอันเป็นไปต่างๆ นั่นคือนิสัยอสูร เป็นพฤติกรรมของพวกปีศาจ อสูร และยักษ์

ซึ่งหมายถึงว่า แม้นคุณจะมีอิทธิฤทธิ์สูงส่งสักเพียงใด คุณก็ไม่อาจเป็นเทวะได้ คุณจะเป็นได้แต่สิ่งที่เทววิทยาเรียกว่า เทพอสูร หรือเทพปีศาจ คืออสูรและปีศาจที่มีฤทธิ์เสมอชั้นเทพ ดังที่ผมได้อธิบายไปในการาตอบจดหมายของท่านอื่นๆ ก่อนหน้านี้แล้ว เพราะคุณไม่มีคุณธรรมที่จะทำให้คุณได้เป็นเทวดา คือ พรหมวิหาร ๔

ดังนั้น สำหรับคำถามของคุณที่ว่าเหตุใดสิ่งศักดิ์สิทธิ์จึงไม่ลงโทษคนเหล่านี้ ก็ตอบได้ว่าเพราะท่านเป็นเทวะ ท่านย่อมปฎิบัติต่อคนเหล่านี้ด้วยพรหมวิหาร ๔ อันเป็นคุณสมบัติของท่าน การเป็นเทพเจ้านั้น มีแต่จะพอใจในการช่วยเหลือผู้คนให้อยู่ดีมีสุข ไม่มีความพอใจในการที่จะทำร้ายรังแกผู้หนึ่งผู้ใด

ส่วนที่เล่าลือกันมาแต่โบราณว่า ใครศึกษาร่ำเรียนวิชาอาคม หรือศาสตร์ลี้ลับต่างๆ แล้วผิดครูนอกครู จะถูกลงโทษด้วยวิธีต่างๆ อย่างน้อยที่สุดคือหาความเจริญก้าวหน้าในชีวิตไม่ได้ เรื่องนี้เป็นเรื่องจริง เพราะครูที่ลงโทษพวกเขาให้มีอันเป็นไปต่างๆ เช่นนั้น ก็คือครูยักษ์ และครูฤาษี ซึ่งฝ่ายหลังนี้แม้จะถือพรต แต่ก็ยังมีโทสะโมหะอยู่มาก ยังไม่มีความมั่นคงในพรหมวิหาร ๔ เพียงพอที่จะเป็นเทพได้ หรือถ้าเป็นเทพได้ก็ไม่ทำเช่นนี้

ครูยักษ์ และครูฤาษีนี้สำคัญ มีอยู่ในทุกสายวิชาโบราณต่างๆ ของไทยเราไม่ว่าจะเป็นนาฏศิลป ศิลปะการแสดงสาขาต่างๆ หรือไสยศาสตร์ เป็นผู้คอยควบคุมจริยธรรมของผู้เรียนรู้วิชาเหล่านี้ เพราะการเรียนรู้วิชาอาถรรพณ์ต่างๆ เหล่านี้ ทำให้ผู้ศึกษามีความรู้ความสามารถในการที่จะให้คุณให้โทษแก่ปุถุชนคนธรรมดาทั่วไปได้ด้วยอำนาจของวิชาที่ร่ำเรียนมา

เช่น นาฏศิลป แม้จะดูเหมือนเป็นศิลปะการแสดง แต่วิชานาฏศิลปนี้เดิมเป็นส่วนหนึ่งของเทววิทยา ใช้ในการประกอบพิธีกรรม ซึ่งสามารถให้คุณให้โทษแก่ผู้อื่นได้อย่างแน่นอน ส่วนไสยศาสตร์นั้นคุณก็คงไม่สงสัย ไม่ว่าจะเป็นมนต์ขาว มนต์ดำ ล้วนให้คุณให้โทษแก่ผู้อื่นได้ทั้งสิ้น

แต่ถึงแม้ว่า การแอบอ้างองค์เทพชั้นสูงจะไม่ทำให้ร่างทรงถูกเทพเหล่านั้นลงโทษ และในขณะเดียวกัน การเรียนรู้วิชาการทรงเจ้าเข้าผี ที่มีการไปครอบครู รับขันธ์กันตามตำหนักต่างๆ ก็ไม่ใช่สายวิชาที่มีครูบาอาจารย์มาแต่โบราณ เช่น ครูยักษ์ ครูฤาษี คอยควบคุมความประพฤติของผู้ศึกษาอยู่แล้ว เพราะเป็นวิชาอุปโลกน์ที่คนสมัยนี้คิดกันขึ้นมาเอง แต่บรรดาร่างทรงต่างๆ ก็ยังคงประสบชะตากรรมที่ร้ายแรงยิ่งกว่าการลงโทษจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใดๆ

เพราะแม้ว่าครูยักษ์ ครูฤาษีจะโกรธง่ายโกรธแรงสักเพียงใด ก็ยังมีความเมตตาอยู่ หากถูกลงโทษแล้วสำนึกผิด ไปขอขมาลาโทษก็หาย เป็นอันพ้นจากโทษภัยเหล่านั้นได้

แต่โทษภัยที่เกิดจากการกระทำที่ผิดธรรมชาติ และเกิดจากการกระทำของตนเอง เป็นกรรมซึ่งให้ผลทั้งชาตินี้ ชาติหน้า และชาติต่อไป โดยไม่อาจบรรเทาได้ด้วยการสำนึกผิดหรือทำพิธีขอขมา เพราะใครก็ตามที่ทำสิ่งชั่วร้าย ก็หมายความว่าเขาเลือกที่จะลงโทษตัวเขาเองอยู่แล้ว ไม่ใช่มีใครมาเลือกที่จะลงโทษหรือไม่ลงโทษเขา

การกระทำที่ผิดธรรมชาติคืออะไร? ตอบอย่างสังเขปได้ว่า โดยปกติ การที่คุณอรอนงค์หรือใครก็ตาม มีรูปร่างลักษณะ ตลอดจนความเป็นไปในชีวิตอย่างที่เป็นอยู่นี้ ก็เพราะผลแห่งกรรมดีและกรรมชั่วที่สั่งสมมาในอดีต และติดกับดวงวิญญาณที่เข้ามาอาศัยร่างของคุณเกิด ร่างกาย สติปัญญา และทุกสิ่งในชีวิตที่คุณมีอยู่ทุกวันนี้ จึงเหมาะสมกับวิญญาณเพียงดวงเดียวเท่านั้น คือวิญญาณของคุณเอง ไม่ใช่สำหรับวิญญาณอื่นใดทั้งสิ้น นี่เป็นกฎธรรมชาติ

เพราะฉะนั้น การที่ภูตผีปีศาจ สัมภเวสีอื่นใด เข้ามาแทรกแซงหรือใช้ร่างของคุณ ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุที่คุณมีความบกพร่องในทางจิตวิญญาณหรือกายภาพอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือเป็นความจงใจของตัวคุณเองก็ตาม ย่อมไม่ต่างอะไรจากคนที่ถูกผีสิง คือเป็นเรื่องที่ผิดธรรมชาติทั้งสิ้น!! เพราะวิญญาณเหล่านั้น ไม่เหมาะสมกับร่างกายและดวงชะตาชีวิตของคุณ พูดง่ายๆ คือไม่เหมาะสมกับผลกรรมของคุณ

เมื่อมีวิญญาณอื่นมาแฝงร่าง สิ่งที่คุณจะต้องเจอเป็นอันดับแรกก็คือ คุณต้องเอาร่างกายของคุณและชะตาชีวิตของคุณทั้งหมดมาแบกรับ และหล่อเลี้ยงดวงวิญญาณของตัวคุณเอง และวิญญาณที่มาแฝงร่างพร้อมกันถึงสองดวง ยิ่งพวกร่างทรงประเภท “เมืองท่า” คือคนคนเดียวทรงได้ ๓ อย่าง ๔ อย่าง ก็ยิ่งเท่ากับคนคนเดียวต้องแบกรับดวงวิญญาณถึง ๓-๔ ดวง ด้วยร่างกายที่เหมาะสมกับดวงวิญญาณแค่ดวงเดียว

ดังนั้นอย่างน้อยที่สุดคุณก็จะเป็นเหมือนรถที่บรรทุกหนักเกินอัตรา เมื่อยังใหม่ๆ เครื่องยนต์ก็ยังดีอยู่ ก็ดูเหมือนจะบรรทุกเกินอัตราได้ไม่มีปัญหาอะไร แต่นานวันเข้า เครื่องยนต์และตัวถังที่ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อการทำงานหนักเช่นนั้นก็ย่อมจะต้องเสื่อมสภาพเร็วกว่าปกติ และถ้ารถคันนั้นไม่เจ๊งเสียก่อน มันก็จะพาทุกอย่างที่มันบรรทุกอยู่ไปประสบอุบัติเหตุ...ใช่หรือไม่?

เช่นเดียวกัน สิ่งที่ร่างทรงจะได้รับก็คือ สุขภาพที่แย่ลงเรื่อยๆ และการเสื่อมของอวัยวะต่างๆ ในร่างกายนั้น เร็วเกินกว่าคนปกติธรรมดาทั่วไป และเกินกว่าชะตากรรมเดิมของเขาที่เขาควรจะเป็นด้วย ยิ่งร่างทรงที่เปิดตำหนักด้วย ทุกครั้งที่ต้องแสดงอภินิหาร เช่น นั่งบนตะปูเหล็กแหลม อาบไฟ เอาของมีคมทิ่มแทงตามร่างกาย หรือสูบบุหรี่มากๆ ร่างกายยิ่งพังเร็วมากขึ้นไปอีก

แต่อาการต่างๆ จะไม่แสดงออกให้ตัวร่างทรงได้รับรู้ เพราะผีที่มาแฝงร่างมันปิดบังเอาไว้ เพื่อครอบงำร่างทรงให้เข้าใจผิดว่า ร่างทรงสามารถทำสิ่งที่เหนือมนุษย์ได้โดยไม่มีผลเสียหายอะไร ดังนั้น ขณะที่สุขภาพของร่างทรงเลวร้ายลงไปเรื่อยๆ ร่างทรงก็ไม่รู้สึกตัว และยังคงดำเนินชีวิตอยู่ได้ในแต่ละวันด้วยอำนาจของผีที่พยายามพยุงร่างนั้นไว้ให้

นอกจากนี้ ผลกรรมต่างๆ ที่โดยปกติจะต้องบังเกิดกับร่างทรงผู้นั้นในเวลาที่เหมาะสม ก็ย่อมต้องเกิดขึ้นตามปกติของมันทุกประการ เพราะกฎแห่งกรรมเป็นเรื่องของความยุติธรรมที่ให้ผลตามเวลา ไม่มีใครจะหยุดยั้งได้

แต่ด้วยอำนาจของผีที่มาแฝงร่าง แม้ผลกรรมเกิดขึ้นแล้ว ถ้าเป็นผลในทางที่ไม่ดี มันก็อำพรางไม่ให้ร่างทรงได้รับรู้ เบี่ยงเบนความสนใจของร่างทรงไปยังเรื่องอื่นเสีย แต่ถ้าเป็นผลในทางดี มันก็อ้างว่าเกิดจากอำนาจบารมีของมัน ร่างทรงจึงชดใช้กรรมที่ตนเองก่อขึ้นในแต่ละวันด้วยความเข้าใจผิดโดยตลอด

แน่นอนที่ว่า ผีเหล่านี้แท้จริงมิได้มีความเก่งกล้าสามารถอะไรมากนัก มันย่อมไม่อาจจะพยุงร่างทรงให้ฝืนธรรมชาติเช่นที่กล่าวมาได้ตลอดไป มันเพียงแต่ปิดบัง อำพราง และเมื่อร่างทรงเริ่ม “เสื่อมสภาพ” จนมันอำพรางไม่ไหว มันก็จะพยายามยุให้ร่างทรงทำบุญมากๆ เพื่อให้ผลบุญมาช่วยพยุงร่างทรงไว้ให้มันใช้งานได้ต่อไป ร่างทรงก็พลอยเข้าใจผิดว่า วิญญาณที่มาแฝงร่างเป็นวิญญาณสัมมาทิฏฐิ ชอบการบุญการกุศล

แต่บุญกุศลนั้น ไม่ใช่จะให้ผลได้ทันเวลาเสมอไป หลายๆ อย่างที่ทำไป เท่ากับเป็นเสบียงเอาไว้ใช้ชาติหน้า นั่นหมายถึงมันไม่ส่งผลในชาตินี้ และข้อสำคัญคือไม่มีใครฝืนกฎธรรมชาติได้ ร่างทรงที่แบกรับสิ่งที่เกินกว่าตนจะรับไหวมาตลอด ในที่สุดก็จะต้องพบกับความเสื่อมจนผีที่มาแฝงร่างไม่อาจพยุง หรือปิดบังอำพรางความเสื่อมนั้นต่อไปได้อีกเมื่อเป็นเช่นนี้ ผีที่มาแฝงร่างก็จะละทิ้งร่างนั้นทันที เพื่อไปหาร่างใหม่ที่เหมาะสมต่อไป ทีนี้สิ่งที่ถูกปิดบังอำพรางไว้ด้วยอำนาจผีทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นความเสื่อมของสภาพร่างกาย และผลแห่งกรรมชั่วทั้งหลายที่ตัวร่างทรงไม่รับรู้มาตลอด ก็จะปรากฏให้เห็นเด่นชัดขึ้นพร้อมๆ กันทั้งหมด ร่างทรงจะพบกับความวิบัติ และมีอันเป็นไปโดยที่ไม่อาจแก้ไขเยียวยาได้ด้วยวิธีการใดๆ ทั้งปวง

ร่างทรงจำนวนหนึ่งจะกลายเป็นคนบ้า สติไม่ดี จำนวนหนึ่งจะตายอย่างผิดธรรมชาติ หรือตายด้วยอาการอันน่าสยดสยองต่างๆ ส่วนคนที่เสียสตินั้น ก็อายุสั้นเช่นกัน

สรุปว่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือเทวดาไม่จำเป็นต้องลงโทษ กฎแห่งกรรมก็ลงโทษร่างทรงอยู่แล้ว เพราะกฎแห่งกรรมก็คือกฎธรรมชาติ ไม่มีใครฝืนกฎธรรมชาติได้ การยินยอมเปิดทางให้ผีเข้ามาอาศัยแฝงร่างด้วยการรับขันธ์ ไม่ว่าจะทำไปโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ทำไปเพราะอำนาจกรรมเก่าบันดาล หรือทำไปด้วยความสำคัญผิด ทั้งหมดก็เป็นสิ่งที่ผู้กระทำเลือกได้เพราะไม่มีใครมาบังคับให้ทำ

การนับถือสิ่งใดก็ตาม ถ้านับถืออย่างมีสติปัญญาและเหตุผล เมื่อเกิดความไม่แน่ใจหรือปัญหาใดขึ้นมาก็จะหาทางออกได้เสมอ เมื่อนับถือโดยไม่ใช้สติปัญญา ใช้แต่ความเพ้อฝัน จินตนาการ และคำพูดป้อยอลมๆ แล้งๆ ก็ช่วยไม่ได้ที่จะพาตนไปสู่ความวิบัติ ปัญญาจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ทุกคนมี สุดแต่ว่าจะรู้จักใช้หรือไม่เท่านั้น / Aromamodaka.com กิตติ วัฒนะมหาตม์

อ่านต่อเรื่องร่างทรงเพิ่มเติม
เรื่องร่างทรง 1 - หลีกห่างจากร่างทรง เพื่อสังคมไทยได้พัฒนา
เรื่องร่างทรง 2 - คนมีองค์ กับ ร่างทรง ต่างกันอย่างไร ?
เรื่องร่างทรง 3 - ร่างทรงกำลังทรงเทพเจ้า...หรือกำลังโดนผีสิง???
เรื่องร่างทรง 4 - การรับขันธ์ อันตรายถึงชีวิต!!!
เรื่องร่างทรง 5 - ตอบคำถามเรื่องร่างทรงโดย อ.กิตติ

เรื่องร่างทรง 6 - ถอนขันธ์ ลาขันธ์ วิธีแก้ไข
เรื่องร่างทรง 7 - รวมข่าวร่างทรงถูกจับ
กรุณาอ่านให้หมดทุกเรื่องนะครับ!!!