ในระยะก่อนจะถึงสมัยของพุทธศาสนานั้น แม้อาณาจักรและแคว้นต่างๆ
ทั้งใหญ่น้อยในอินเดียตอนเหนือจะเต็มไปด้วยความวุ่นวาย แต่บุคคลรุ่นหลังก็ยังรู้ความเป็นมานั้นๆได้ตลอด
ไม่จากตำนานก็จากพระคัมภีร์ต่างๆ หรือแม้แต่จากพุทธประวัติ
ซึ่งในขณะเดียวกัน ดินแดนทางใต้ที่ยื่นล้ำเป็นรูปสามเหลี่ยมใหญ่โตไปในคาบสมุทรอินเดียนั้น
ที่เต็มไปด้วยอาณาจักรน้อยใหญ่กลับไม่มีประวัติความเป็นมาและเป็นไปให้รู้กันแน่ชัด
ว่าปวงชนที่ไปตั้งหลักแหล่งอยู่ ณ ดินแดนที่เรียกว่าอินเดียตอนใต้ในปัจจุบัน
ตั้งแต่ครั้งโบราณเป็นผู้ที่อพยพมาจากทางใดและนำเอาอารยธรรมมาสู่ดินแดนนี้จากที่ใด
นักโบราณคดีได้แต่สันนิษฐานว่า พวกอารยันบางพวกที่อพยพมาพร้อมๆกันกับพวกที่เข้ารุกรานอินเดียตอนเหนือนั่นเอง
ได้แยกทางและอพยพลงมาสู่ทางตอนใต้ จนในที่สุดก็ข้าม ภูเขาวินธัย
(Vindhya) แล้วเดินทางข้าม แม่น้ำนาร์บาดา
(Narbada) และเทือกเขาสัตปุระเข้ามาสู่ ที่ราบสูงเดคคาน
(Deccan plateau) ที่อยู่บริเวณต้น แม่น้ำโคธาวารี
(Codavari) และ แม่น้ำกฤษณา (Krishna)
ปะปนกับพลเมืองดั้งเดิมของพื้นที่ โดยยึดเอาการบูชาเทพเจ้าที่พวกเขาเคารพเป็นหลัก
ต่อมานักเดินเรือชาวฟินิเซี่ยนและอาหรับที่กล้าเดินเรือมาค้าขายกับดินแดนชมพูทวีปตอนล่าง
ก็ได้นำเอาวัฒนธรรมที่มีรูปแบบแปลกใหม่มาปะปนกับอารยธรรมดั้งเดิม
เกิดเป็นอารยธรรมอย่างใหม่ดังที่ได้เห็นกันอยู่แม้ในปัจจุบัน
ผิดแผกแตกต่างไปจากชนในดินแดนตอนเหนือ อินเดียตอนใต้นี้ในภายหลังแม้พระเจ้าอโศกมหาราชผู้เกรียงไกร
ก็ไม่อาจยกทัพมากวาดล้างได้ถึงดังที่กล่าวมาแล้ว
ในครั้งกระโน้น กลุ่มชนที่อาศัยอยู่ในแถบลุ่มแม่น้ำคงคาในดินแดนตอนเหนือได้อาศัยการเอ่อท้นของน้ำในฤดูใบไม้ผลิเป็นประโยชน์ในการกสิกรรม
แต่ในที่ราบสูงเดคคานอันกว้างใหญ่ของอินเดียตอนใต้ กลุ่มชนกลับได้อาศัยลมมรสุมพัดพาเอาฝนเข้ามาสู่ที่ราบ
ทำให้ดินอันแข็งดุจหินกลับกลายเป็นโคลนเหลวเหมาะแก่การเพาะปลูก
ทำให้เกิดมีเทศกาลของตนเองขึ้นเพื่อต้อนรับฤดูกาลแห่งการเพาะปลูกของปี
เป็นดังนี้มากว่า 2 พันปีแล้วครับ
ครั้นต่อมา เมื่อ สกุลจันทวงศ์ ในอินเดียตอนเหนือเกิดความวุ่นวายแยกกันเป็นสกุล
ยาทพ และ โปรพ โดยกษัตริย์ยาทพปกครองดินแดนเล็กๆอยู่ที่ริมแม่น้ำยมนา
แต่เชื้อสาย โปรพ นั้น เกิดแตกแยกเป็น
2 ราชวงศ์ คือราชวงศ์ ปาณฑพ ปกครอง หัสดินปุระ
กับพวก โกรพ ปกครอง นครอินทรปรัสก
อยู่ที่ริมแม่น้ำยมนา ทั้งสองวงศ์นี้เกิดแย่งชิงความเป็นใหญ่ขึ้น
ทำให้เกิดการรบพุ่งกันเองที่เรียกว่า มหภารตยุทธ
(Mahabharata) ซึ่งมีผู้เอามาแต่งเป็นกาพย์หรือ
Epic ชั้นเยี่ยมเรื่องหนึ่งของโลกนั่นเอง ราชวงศ์ปาณฑพได้รุกรบลงมายังภาคใต้
และสถาปนาตนเป็นใหญ่ขึ้นเป็นราชวงศ์แรก หลังจากนั้นก็มีการเปลี่ยนราชวงศ์เป็นราชวงศ์
โจฬะ และ จีระ แต่ก็ครองอำนาจอยู่ไม่นาน
ในที่สุดก็มีการเปลี่ยนราชวงศ์เป็นราชวงศ์ ปัลลวะ
ตั้งแต่ตอนต้นพุทธกาลราชวงศ์นี้เป็นใหญ่อยู่ในอินเดีย
ต่อมาอีกหลายร้อยปีครอบครองดินแดนทางภาคใต้ของอินเดีย
ซึ่งในปัจจุบันคือ รัฐอันตระประเทศ (Andhrapradesh)
การนานตกะ (Karnataka) หรือ รัฐไมซอร์
(Mysore) ในปัจจุบัน รัฐเคราลา
(Kerala) ตอนบนและส่วนเหนือของ รัฐมัทราส
(Madas) หรือ ทมิฬนาดู (Tamilnadu) และตอนใต้ของ
แคว้นมหาราชตรา ในปัจจุบัน
แต่มิใช่ว่าราชวงศ์ ปัลลวะ จะครองอำนาจได้ตลอดดินแดนทางภาคใต้ของอินเดียเลยนะครับ
ในบางยุคก็กลับมีแคว้นเล็กๆ บางแคว้นแข็งเมืองขึ้นมาได้เหมือนกัน
หรือแม้แต่ตอนปลายสุดของคาบสมุทรอินเดีย คือ รัฐทมิฬนาดู
และ รัฐเคราลา ก็ไม่ได้ตกอยู่ในอำนาจของราชวงศ์ปัลลวะ
ซึ่งตั้งราชธานีอยู่ที่ เมืองมัลวาร์ (Malvar)
หรือปัลลวะอยู่ตลอดเวลา
ถึงกระนั้นกษัตริย์บางพระองค์ของราชวงศ์นี้ก็ยังทรงอานุภาพมากในราวศตวรรษที่
6 ถึงศตวรรษที่ 7 กษัตริย์ซึ่งทรงพระนามว่า นรสิงห์-วารมันกานจี
(ค.ศ.630-668) สามารถปราบปราม แคว้นจาลุกย์
ลงได้เมื่อราว ค.ศ.640 ทำให้อาณาจักรปัลลวะมีอำนาจสูงมาก
ทั้งหมดนี้ ทำให้เราทราบว่าในอินเดียตอนใต้ตั้งแต่ศตวรรษที่
2 ถึง 6 มีแคว้นเล็กแคว้นน้อยอยู่มากมาย ทำให้นักโบราณคดีต้องคลำประวัติของอาณาจักรในอินเดียตอนใต้กันให้วุ่น
เพราะบางทีก็มีโบราณสถานมาโผล่ให้เห็นโดยไม่รู้ว่าใครมาสร้างไว้
อย่างเช่นหมู่โบราณสถานที่เรียกว่า มามัลละปุรัม
และ มหาบาลีปุรัม อันอยู่ในบริเวณที่เคยเป็นเมืองท่าของอาณาจักรปัลลวะทางฝั่งทะเลตะวันออกใกล้ๆ
เมืองไมโรโปเร (Myropore) ซึ่งได้กลายเป็นที่หลบซ่อนของ
กษัตริย์ราชสิงหะนรสิงห์วรมานันที่ 2
(ค.ศ.700-728) อันเป็นกษัตริย์องค์สุดท้ายของอาณาจักรปัลลวะ
หลังจากอาณาจักรล่มสลายลง เพราะ อาณาจักรโจระ
และ จาลุกย์ ร่วมมือกันต่อสู้และทำลายอาณาจักร
ปัลลวะ ลง จนกษัตริย์ราชสิงหะต้องหลบมาอยู่ไกลถึงคนละฟากฝั่งของคาบสมุทรอินเดีย
และมาสลักหมู่เทวสถานขนาดเล็กสำหรับบูชาพระเจ้าคือพระวิษณุไว้มากมายที่ริมทะเล
ต่อมาได้ปรากฎว่ามีผู้ตามมาสลักคำสาปแช่งซ้ำไว้อีก หมู่โบราณสถานเหล่านี้นี่เองที่ขึ้นชื่อลือชาไปทั่วโลกในรูปแบบการสลักหิน
สิ่งสลักเก่าแก่ที่สุดมีอายุราวศตวรรษที่ 3 คงเป็นเพราะอยู่ไกลและพ่ายแพ้ต่อการสู้รบหมู่เทวสถานจึงมีขนาดเล็กดังปรากฎอยู่ให้เห็นครับ
และที่ตราตรึงบรรดานักสำรวจทั้งหลาย บริเวณดินแดนแห่งอินเดียตอนใต้
ถึงขนาดสำรวจแล้วได้พิมพ์เรื่องราวของอาณาจักรที่สำรวจพบขึ้นเป็นหนังสือเล่มใหญ่ทีเดียว
คือเรื่องราวของ อาณาจักรวิจายะนคร (Vijayanagara)
ซึ่งนักโบราณคดีอินเดียเองได้ลงมือสำรวจเมื่อ ค.ศ.1970
หลังจากที่ฝรั่งแอบไปทำการสำรวจจนเกลี้ยงเมืองแล้ว แต่บังเอิญมีศิลาสลักจมดินอยู่จึงพอจะทราบความเป็นมาของอาณาจักรอันใหญ่โตซึ่งมีสิ่งก่อสร้างที่งามแปลกตาซุกซ่อนอยู่ในป่าใกล้
เมืองฮอสเปต (Hospet) ใน รัฐไมซอร์
บริเวณดินแดนที่มีชื่อในปัจจุบันนี้เรียกว่า หมู่บ้านฮามไป
(Hampi) ซึ่งเป็นหมู่บ้านโบราณตั้งแต่ศตวรรษที่ 4 ซึ่งต่อมาได้เจริญจนสร้างเป็นเมืองขึ้นในศตวรรษที่
8 โดยวิธีตามตำรา คือสร้างโบสถ์บูชาเทพเจ้าขึ้นก่อน ที่ริม
แม่น้ำตันกภัทรา (Tungabhadra) เพื่อบูชาเทพเจ้าที่ชาวพื้นที่เดิมนับถือมากที่สุด
คือ พระเทวีปัมปา (Pampa) ซึ่งเป็นมเหสีของ
เทพเจ้าวิรุฬปักษ์ โลกบาลประจำทิศตะวันตกซึ่งอำนวยน้ำฝนให้พืชพันธุ์ธัญญาหารต่อพวกเขา
ต่อจากนั้น บริเวณนี้ก็มีความเจริญรุ่งเรืองขึ้นเรื่อยๆ
มีกษัตริย์ปกครอง สร้างโบราณสถานที่ใหญ่โตงดงามและกำแพงเมืองขึ้นโดยรอบบริเวณนี้เจริญขึ้นจนถึงขีดสูงสุด
มีเมืองขึ้นอยู่ในอาณาจักรถึงกว่า 30 เมืองและเจริญมาโดยสม่ำเสมอ
แม้กาลเวลาจะล่วงไปจนถึงศตวรรษที่ 15 ในสมัย กษัตริย์กฤษณเทพ
(Krishnadeva) ค.ศ.1509-1529
เคยมีชาวยุโรปดั้นด้นเข้าไปดูแล้วกลับออกมาเล่าว่า
เป็นนครที่งามสง่า ร่ำรวย แต่งกายด้วยอัญมณีมีค่า เทวสถานและพระราชวังล้วนประดับประดาด้วยทอง
มีศิลปะและสถาปัตยกรรมอันงามแปลกตา ข่าวนี้ทำเอาผู้ที่ได้รับฟังหูผึ่งแต่ไม่สามารถจะดั้นด้นฝ่าป่าเข้าไปได้
จนในที่สุดในศตวรรษที่ 20 นี้เอง มีผู้ดั้นด้นเข้าไปจนถึงวิชัยนครจนได้ครับ
ทว่าไม่มีวิชัยนครอันเต็มไปด้วยผู้คนที่ร่ำรวยหรือปราสาทราชฐานอันมียอดหุ้มด้วยทองคำเหลืออยู่เลย
ทั่วทั้งเมืองมีแต่ซากปรักหักพัง เหลือแต่สิ่งก่อสร้างที่ทำด้วยหินรูปร่างแปลกแต่งดงาม
ไม่มีแม้แต่เกล็ดของทองสักชิ้น!! เกิดอะไรขึ้นกับเมืองแห่งความร่ำรวยเช่นนี้หรือ?
เรื่องราวของ วิชัยนคร นี้กลายเป็นเรื่องที่ดังที่สุดในอินเดียตอนใต้
มีการยกขบวนนักโบราณคดีเข้าไปขุดสำรวจอยู่หลายครั้งหลายครา
พร้อมกับศึกษาจารึกทั้งหลายของนครที่มีผู้นำไปจากเมือง
ในที่สุดก็รู้ว่าความลึกลับของเหตุการณ์ที่เกิดแก่นครนี้เป็นอย่างไร..
เหตุมาจากความร่ำรวยของอาณาจักรวิจายะนัคราหรือวิชัยนครนี่เอง
ทำให้อาณาจักรมุสลิมทั้งหลายที่ตั้งอยู่บนที่ราบสูงเดคคานอิจฉาอยากได้มาไว้ในครอบครอง
เกิดการรบพุ่งกันอยู่เสมอจนถึงสมัย กษัตริย์อชยุตาเทพ
(Achyutadeva) ขึ้นครองราชย์ อาณาจักรมุสลิม
ที่อยู่ทางเหนือก็รวมกำลังกันเข้าได้ถึง 5 อาณาจักร ก็ยกเข้าตีวิชัยนครเมื่อ
คศ.1564
หลังจากต่อสู้กันอยู่ถึง 5 เดือน ในต้นปี ค.ศ.1565 ทัพของวิชัยนครก็เป็นฝ่ายพ่ายแพ้
กองทัพมุสลิมที่กำลังฮึกเหิมรุกตามมาถึงกำแพงกรุงวิชัยนครและด้วยอำนาจของดินปืน
กำแพงนครอันแข็งแกร่งมากกว่า 800 ปีก็พังพินาศลง
แสงไฟที่ลุกโชติช่วง ควันไฟที่ลอยค้าง เสียงโห่ฮึก
และเสียงร้องเซ็งแซ่ของชาววิชัยนครยามที่เมืองแตกดังขรมไปทั่ว
ทัพมุสลิมเข้าไปในเมืองทำลายสถานที่ เก็บทรัพย์ ฆ่าฟันและจับเชลย
ทิ้งวิชัยนครให้เหลือแต่ซากหักพัง ปราศจากผู้คน กลายเป็นเมืองร้างอยู่กลางป่า
จนในที่สุดชื่อและเรื่องราวของวิชัยนครก็หายสาบสูญไปจากประวัติอินเดียตอนใต้ถึงเกือบ
500 ปี
ส่วนกษัตริย์อชยุตาเทพและชาวเมืองส่วนหนึ่งนั้นหนีไปได้
เดินทางไปตั้งอาณาจักรเล็กๆอยู่ ณ ปลายสุดของคาบสมุทร
และสิ้นสุดวงศ์ลงในราวศตวรรษที่ 18
ส่วนพวกปัลลวะอันเป็นชาติดั้งเดิมชาติหนึ่งในอินเดียใต้นั้น
หลังจากถูก อาณาจักรจาลุกย์ (Chalukyas)
ปราบปรามลงได้ในศตวรรษที่ 7 แล้ว ราชวงศ์ปัลลวะก็เสื่อมลงเหลือแต่อำนาจขนาดเจ้าเมืองเท่านั้น
ปกครองอาณาจักรมาจนถึงศตวรรษที่ 13 โดยเสื่อมความเจริญลงเรื่อยๆ
จนในที่สุดก็กลายเป็นแค่เมืองที่มีขุนนางธรรมดาปกครองเท่านั้น
ในที่สุดพวกปัลลวะนี้ก็สูญหายไป
ส่วนอาณาจักรจาลุกย์นั้นก็ครองความเป็นใหญ่อยู่เหนือทุ่งราบเดคคานจาก
ค.ศ.753 จนถึง ค.ศ.973 โดยมี เมืองมัลเกตุ (Malkhed)
ซึ่งในปัจจุบันนี้คือ เมืองกัลบารกา
(Gulbarga) เป็นเมืองหลวง ยังมีซากของเมืองโบราณสถาน โบสถ์
สระน้ำ ปรากฎให้เห็นอยู่ ณ เมืองดังกล่าวที่ห่างไปทางตะวันตกของ
เมืองไฮเดอราบัด ราว 160 กม.ครับ เรามาชมเมืองหลวงขออาณาจักรจาลุกย์ของฮินดูโบราณแห่งสุดท้ายดูบ้างดีกว่าครับ..
เมืองมัลเกตุของอาณาจักรจาลุกย์นั้น ตั้งอยู่กลางประเทศอินเดียพอดี
อยู่ทางตอนเหนือของรัฐอันตระประเทศ ดังนั้นอาณาจักรนี้จึงสามารถแผ่อำนาจไปได้ทั้งภาคเหนือและใต้ของอินเดีย
สิ่งก่อสร้างของอาณาจักรนี้เป็นแบบลูกผสม นัครา
และ ดราวิท หรือ ทราวิท
(Nagara & Dravida) ชื่อของเมืองอันเป็นประดุจเมืองหลวงในครั้งนั้นคือ
บาดามี (Badami)
เนื่องจากอาณาจักรนี้เป็นทางผ่านของการแพร่ขยายอำนาจทั้งของอาณาจักรทางตอนเหนือและใต้
อาณาจักรนี้ซึ่งบางทีก็เรียกว่า อาณาจักร การนาตกะ
(Karnataka) เป็นอาณาจักรที่เข้มแข็งยิ่ง โดยเฉพาะในศตวรรษที่
7 โดยมีศูนย์กลางการปกครองอยู่ที่บาดามีอยู่ราว 200 กว่าปี
อาจเป็นเพราะชาวจาลุกย์ต้องผจญกับการศึกษาสงครามอยู่เป็นประจำ
จึงนิยมแกะสลักสถานที่สำคัญๆเป็นถ้ำเข้าไปในหินที่ต้องก่อต้องสร้าง
ก็ตัดเอาหินมาสร้างอย่างแข็งแรง โดยเฉพาะตัวนครบาดามีนั้น
ขุดทำเป็นถ้ำและป้อมเข้าไปในหมู่ของภูเขาทีเดียว
แม้แต่เทวสถานทั้งหลายก็ขุดเจาะกันเข้าไปในภูเขา
ซึ่งนักโบราณคดีกล่าวว่ามีลักษณะงดงามและดีเป็นพิเศษ และว่าการแกะสลักที่ถ้ำการนาตกะและไกลาสนาถาที่เอลโรล่าในมหาราชตระ
อาจเอาตัวอย่างไปจากถ้ำบาดามีนี้ นับว่าฝีมือของช่างสลักหินของเมืองจาลุกย์นี้ยอดเยี่ยมมากทีเดียวครับ
ในโบสถ์ของเมืองจาลุกย์ สลักเรื่องราวที่มีอยู่ทั้งใน
มหาภารตะ รามายณะ และ ปัญจะตันตระ
(Panchatantra) ยิ่งโบสถ์พระศิวะในถ้ำสนาติคงจะได้ทำการสลักขึ้นในระยะที่ราชวงศ์มีอำนาจเต็มเปี่ยมทีเดียวครับ
บรรดาโบสถ์วิหารหินทั้งหลายเหล่านี้ถูกสร้างเข้าในภูเขาทั้งลูก
มีทั้งป้อมปราการ และสระเก็บน้ำเพราะใกล้ คุ้งน้ำกากินา
(Kagina) ทำให้สามารถมองเห็นภูมิประเทศได้จากกำแพงทั้ง
2 ด้าน กำแพงยังทำระดับกำแพงทางผ่านไปในป้อมก็แสนจะคดเคี้ยว
ภายในถ้ำที่มีถึง 3 ถ้ำนี้ มีเสาค้ำที่สลักขึ้นจากเนื้อหินด้วยลวดลายลูกผสมที่สวยงามประหลาด
ระเบียงและผนังล้วนสลักภาพนูนสูงเป็นเรื่องราวของเทพเจ้า
โดยเฉพาะในถ้ำใหญ่ที่มีรูปสลักพระวิษณุประทับนั่งบนบัลลังค์นาค
กรทั้งสี่ถืออาวุธ งดงามที่สุด ส่วนหมู่เทวสถานนั้นก็เรียงรายสลับไปกับอาคาร
ปรากฎให้เห็นเด่นบนภูเขาเดียวกับเทวสถานของพระวิษณุเช่นกัน
นับว่างดงามแปลกตาด้วยศิลปะที่ไม่เหมือนใคร
แต่อาณาจักรจาลุกย์ก็หาได้ยืนยงคงอยู่ได้ตลอดไปไม่ เมื่อล่วงมาถึงสมัยมุสลิมเรืองอำนาจ
อาณาจักรจาลุกย์ก็ต้องถึงแก่กาลล่มสลายลงในที่สุดในราวศตวรรษที่
10 บรรดาดินแดนของอินเดียภาคใต้ก็ถูกทำลายลงด้วยอานุภาพของราชวงศ์โมกุลร่วมกับอาณาจักรมุสลิมทั้งหลาย
กาลเวลาไม่เคยหยุดคอยอารยธรรมความเจริญ เพราะมันย่อมกลืนเสียซึ่งทุกสิ่งแม้ตัวมันเอง
ดังนั้นความรุ่งเรืองที่เคยฉายแสดงในหมู่เขาหมู่ถ้ำ และปรางค์ปราในอินเดียตอนใต้ก็ร่วงโรยลงเหลือแต่ซากของอารยธรรมที่บอกให้รู้ว่า
ในครั้งหนึ่งของ "เวลา" นั้น ณ ที่นี้เคยเรืองรองด้วยอำนาจที่อาจเนรมิตให้เพิงผาอันเต็มไปด้วยหินแข็ง
กลับกลายเป็นปูชนียสถานและรูปสลักที่เหลืออยู่ให้เห็นดังนี้...
|
ขอขอบพระคุณ : หนังสือ
INDIA ความเร้นลับของปฐพีชมพูทวีป
เขียนโดย : ทีมงานต่วย'ตูน / ราคาเล่มละ 250 บาท
สำนักพิมพ์ : พี.วาทิน พับลิเคชั่น
อินเดีย..ต้นธารแห่งอารยธรรมอันยิ่งใหญ่
ที่หลั่งไหลไปสู่ดินแดนต่างๆ ทั่วเอเชีย ร่วมติดตามค้นหารากเหง้าแห่งความเป็นภรตวรรษ
ศูนย์กลางการก่อเกิดศาสนา ภาษา ศิลปะ และวัฒนธรรมหลายหลาก
อันนำมาซึ่งวิถีที่แตกต่างของผู้คนนานาเชื้อชาติบนผืนแผ่นดินเดียว |
โฆษณาหนังสือฟรี!!!
สำหรับสำนักพิมพ์ที่ต้องการโปรโมทหนังสือเกี่ยวกับเทพในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู
ติดต่อได้ที่ siamganesh@gmail.com |
|