อาณาจักรตามพรลิงค์
เป็นอาณาจักรเก่าแก่ที่อยู่ทางภาคใต้ของประเทศไทย มีศูนย์กลางอยู่ที่
เมืองตามพรลิงค์ (เมืองนครศรีธรรมราช)
ซึ่งพบว่าเป็นจุดเริ่มต้นของศาสนาฮินดู-พราหมณ์ มีหลักฐานปรากฎว่า
เมื่อประมาณพุทธศตวรรษที่ 7 นั้น เมืองตามพรลิงค์แห่งนี้ตกอยู่ในอำนาจการปกครองของ
อาณาจักรฟูนัน (ขอม) และ อาณาจักรศรีวิชัย
ภายหลังเมืองจึงได้มีความสำคัญขึ้นตามลำดับจนในพุทธศตวรรษที่
13 เมืองตามพรลิงค์ได้ขยายอำนาจขึ้นมาเป็นเมืองใหญ่ กลายเป็นศูนย์กลางการค้าและการปกครองเมืองต่างๆในดินแดนทางภาคใต้
จนสามารถสร้างเป็นอาณาจักรใหญ่ขึ้นในพุทธศตวรรษที่ 14-15
ได้
อาณาจักรตามพรลิงค์ หรือ ต้าหมาหลิง นี้
ได้ขยายอาณาเขตปกครองตั้งแต่เมืองปัตตานีและหัวเมืองทางภาคใต้เกือบทั้งหมด
ในพุทธศตวรรษที่ 19 อาณาจักรตามพรลิงค์หรือเมืองนครราชศรีธรรมราชได้เสื่อมอำนาจลงและได้เป็นเมืองที่รวมเข้ากับกรุงศรีอยุธยาในที่สุด
เมืองตามพรลิงค์ (เมืองนครศรีธรรมราช) แห่งนี้ พบว่ามีโบราณสถานของศาสนาพราหมณ์อยู่บน
"เขาคา" ตำบลสำเภา อำเภอสีชล จังหวันครศรีธรรมราช
ทำให้หลักฐานยืนยันชัดเจนว่า ศาสนาฮินดู-พราหมณ์นั้นได้เดินทางเข้ามาเผยแผ่และตั้งแหล่งเผยแพร่เรื่องของพระผู้เป็นเจ้าของพราหมณ์ขึ้นในดินแดนแถบนี้ก่อน
ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการนับถือองค์เทพหรือพระผู้เป็นเจ้าของพราหมณ์
ก่อนที่จะเผยแพร่ไปตามเมืองอื่นๆในดินแดนสุวรรณภูมิต่อไป
เทวสถานบนยอดเขาคาเกิดขึ้นได้นั้น ต้องมีชุมชนของผู้นับถือคอยอุปถัมภ์ดูแลอยู่ด้วย
จากการศึกษาสถานที่และสำรวจนั้นได้พบว่า เขาคาแห่งนี้มีแนวสันทรายนครศรีธรรมราช
(คือ สันทรายสิชล-ท่าศาลา) ทอดยาวจากทิศเหนือลงมาทิศใต้ประมาณ
50 กิโลเมตร มีอายุอยู่ใน สมัยโฮโลซีน
คืออายุราว 5,000-6,000 ปีลงมา
ส่วนชุมชนผู้นับถือพระผู้เป็นเจ้าของพราหมณ์ในสมัยนั้นน่าจะอยู่แถวบริเวณเทือกเขานครศรีธรรมราชด้านทิศตะวันตก
ซึ่งเป็นแหล่งต้นน้ำของคลองหลายสายที่ไหลเกือบเป็นเส้นตรงจากทิศตะวันตกไปสู่ทะเลด้านทิศตะวันออก
ตอนกลางนั้นมีบริเวณที่ราบเชิงเขาและที่ราบริมลำน้ำซึ่งมีสภาพพื้นที่สูงกว่าบริเวณสันทรายใกล้ชายฝั่ง
การทับถมของตะกอนดินในแม่น้ำและความชุ่มชื้นของลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดมาจากทะเลนั้น
ได้ทำให้บริเวณที่ราบกว้างใหญ่ริมฝั่งแม่น้ำนั้นมีความอุดมสมบูรณ์ยิ่งกว่าบริเวณอื่น
จนเอื้ออำนวยต่อการทำเกษตรกรรมเลี้ยงชุมชนที่เกิดขึ้นได้
อีกทั้งยังได้อาศัยลำน้ำเป็นเส้นทางคมนาคมติดต่อไปยังพื้นที่ตอนในกับพื้นที่ชายฝั่งทะเลด้วย
บริเวณเทวสถานของพราหมณ์ผู้เผยแผ่ความเชื่อในพระผู้เป็นเจ้าแห่งนี้จึงเชื่อว่าน่าจะเป็นแหล่งชุมชนโบราณในยุคแรกนั้น
และได้มีการติดต่อค้าขายกับพ่อค้าชาวอินเดียที่พากันเดินทางเข้ามาตั้งแต่ราวพุทธศตวรรษที่
10 ชุมชนโบราณนี้อยู่ทางด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือของเขาคาและบริเวณวัดเบิกเขาพรง
การสำรวจนั้นได้พบเครื่องมือขวานหินขัด เครื่องมือของมนุษย์สมัยก่อนประวัติศาสตร์ที่มีอายุประมาณ
4,000-5,000 ปี พบแหล่งโบราณคดีจำนวนมากอยู่กระจายตามลุ่มแม่น้ำในเขตอำเภอสิชลและมีหลักฐานการอยู่อาศัยกันหนาแน่นในท้องที่
ตำบลสำเภา ตำบลฉลอง ตำบลเทพราช
ชุมชนมนุษย์ที่ เขาคา-สิชล คงจะตั้งถิ่นฐานอยู่อาศัยและสร้างวัฒนธรรมของตนเองสืบทอดมาตั้งแต่ยุคเริ่มประวัติศาสตร์
ซึ่งมีการติดต่อค้าขายกับพ่อค้าอินเดียที่เดินทางเรือและบกไปมาหาสู่ประจำ
ดังนั้นในพุทธศตวรรษที่ 10-18 บริเวณเขาคาจึงเกิดวัฒนธรรมและคติความเชื่อในพระผู้เป็นเจ้าของพราหมณ์อินเดียที่เข้ามาในชุมชนแห่งนี้แล้ว
โดยมีพ่อค้าอินเดียและพราหมณ์เป็นผู้นำมาเผยแพร่ นับเป็นอารยธรรมของอินเดียที่เกิดเป็นแห่งหนึ่ง
(ที่สำรวจพบ) ในบริเวณดังกล่าว
แหล่งโบราณวัตถุและโบราณสถานที่พบบนเขาคานั้น ได้พบว่าเป็นเทวสถานที่สร้างขึ้นถาวร
อันแสดงถึงคติความเชื่อใน ลัทธิไศวนิกาย ที่นับถือ
พระศิวะ เป็นเทพเจ้าสูงสุด
เมื่อพุทธศตวรรษที่ 12-14 นั้น ศาสนาพราหมณ์ลัทธิไศวนิกายได้มีความเจริญมาก
ด้วยพบหลักฐานว่า ชุมชนโบราณที่อยู่ในบริเวณเขาคาแห่งนี้
ได้ขยายตัวลงไปทางตอนใต้ตลอดแนวลำน้ำ เช่น ชุมชนวักนาขอม
ที่ร้างอยู่ ซึ่งพบว่าได้มีการตั้งเทวาลัยขึ้นเป็นจำนวนมากทั้งที่อยู่บนบริเวณเนินเขาและที่ราบ
ส่วนพุทธสถานของชุมชนที่นับถือศาสนาพุทธนั้นเกิดขึ้นอยู่ตามบริเวณที่ราบเท่านั้น
ดังนั้น เขาคา จึงเป็นเขาที่ถูกเลือกสำหรับสร้างเทวสถานเพื่อเป็นเทวาลัยแห่งพระศิวะเทพ
ให้เป็นศูนย์กลางของศาสนาพราหมณ์ลัทธิไศวนิกายคือใช้เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ประดิษฐานศิวลึงค์ตามคัมภีร์ศิวปุราณะ
เป็นเรื่องที่ต้องศึกษาทางโบราณคดีถึงทำเลของเทวสถานที่เป็นต้นแบบศาสนาพราหมณ์ในไทยแห่งนี้ต่อไป
เขาคาเป็นเขาลูกโต ยาวประมาณ 850 เมตร กว้างประมาณ 300
เมตร ยอดเขามีความสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 72 เมตร เชิงเขาด้านใต้มีลักษณะเรียวกว่าด้านเหนือเล็กน้อย
บนยอดเขามีเทวสถานของศาสนาพราหมณ์ตั้งอยู่ ห่างออกไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือประมาณ
50 เมตร มีแม่น้ำไหลผ่านเขาคา ทางด้านตะวันตกเฉียงเหนือและทิศเหนือ
คือ คลองท่าทน มีต้นกำเนิดมาจาก เทือกเขาหลวง
ซึ่งเชื่อว่าเป็นสัญลักษณ์ที่ใช้แทน เขาพระสุเมรุ
ตามอย่าง ภูเขาหิมาลัย ในอินเดีย
เขาคาจึงเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ใช้ประกอบพิธีกรรมของศาสนาพราหมณ์และเป็นที่อยู่อาศัยของพราหมณ์
ซึ่งพบร่อบรอยสถาปัตยกรรมตามแนวสันเขารวมทั้งหมด 4 แห่ง
สระน้ำ 3 แห่ง และมีโบราณสถานที่ดัดแปลงจากสภาพแวดล้อมธรรมชาติอยู่สุดเนินเขาทางเหนืออีก
1 แห่ง เชื่อว่าเป็นชุมชนของชาวบ้านที่อยู่กระจัดกระจายตามพื้นที่ราบรอบเขาคา
ด้วยพบหลักฐานทางโบราณคดีเป็นจำนวณมาก เช่น เนินโบราณสถาน
สระน้ำโบราณ ศิวลึงค์ และชิ้นส่วนของสถาปัตยกรรม
เช่น ฐานเสา ธรณีประตู กรอบประตู เป็นต้น
เขาคานี้มีสองยอด ยอกหนึ่งมีลักษณะเป็นเนินเขาบนตะพักเขาที่สูง
70 เมตร ยอดทางเหนือสูงประมาณ 194 เมตร ทั้งสองยอดนี้มีโบราณสถานอยู่เรียงรายตามสันเขา
โบราณสถานบนเขามี 5 หลังพบว่ามีบ่อรูปสี่เหลี่ยมทำบ่อน้ำมนต์
และท่อโสมสูตรในอาคารหลังใหญ่กว้าง 17 เมตร
ลักษณะของศิวลึงค์ตามคัมภีร์ปุราณะที่พบอยู่บนเขาคานั้น
ส่วนล่างสุดเป็นฐานรูปสี่เหลี่ยมจตุรัสหมายถึง พรหมภาค
ตรงกลางศิวลึงค์นั้น เป็นรูปแปดเหลี่ยมหมายถึง วิษณุภาค
และบนสุดของศิวลึงค์เป็นรูปกลมมน หมายถึงรุทรภาค นอกจากศิวลึงค์แล้วยังพบฐานโยนีเป็นจำนวนมากมีฐานหนา
9-12 เซ็นติเมตร มีอายุราวพุทธศตวรรษที่ 15
เทวสถานนี้แม้จะสร้างเป็นเทพเจ้าของลัทธิไศวนิกายแล้ว
ยังพบว่ามีการประดิษฐานไวษณพนิกายควบคู่ไปด้วยกัน ต่อมาราวพุทธศตวรรษที่
17-18 ได้พบว่ามีร่องรอยหลักฐานของชุมชนชาวพุทธฝ่ายมหายาน
ได้เข้ามาตั้งหลักฐานอยู่ใกล้ๆแหล่งที่เคยเป็นเทวสถานของศาสนาพราหมณ์แห่งนี้
ต่อมากลุ่มชาวพุทธได้ทำการดัดแปลงเทวสถานของพราหมณ์แหงนี้เป็นพุทธสถานแทน
บริเวณแหล่งศาสนาพราหมณ์แห่งนี้ เมื่ออาณาจักรตามพรลิงค์
(เมืองนครศรีธรรมราช) เจริญรุ่งเรือง ผู้คนที่อยู่ชุมชนแห่งนี้จึงพากันอพยพไปอยู่ที่ศูนย์กลางแห่งใหม่
และนำเอาวิทยาการต่างๆของพราหมณ์อินเดียที่ถูกถ่ายทอดสู่ชุมชนนั้นไปเผยแพร่ต่อไป
ต่อมาวิทยาการเหล่านั้นได้มีบทบาทสำคัญในสังคมไทย โดยเฉพาะวิชาโหราศาสตร์และคัมภีร์ของศาสนาพราหมณ์
อาณาจักรตามพรลิงค์ต่อมาได้กลายเป็นแหล่งอารยธรรมของอินเดียโบราณที่บรรดาพ่อค้าและพราหมณ์ได้เดินทางเข้ามาครั้งแรก
ก่อนที่จะมีคณะสมณฑูตจาก พระเจ้าอโศกมหาราช แห่งอินเดียนำหลักธรรมในพระพุทธศาสนาเข้ามาประกาศเผยแผ่ในดินแดนสุวรรณภูมิ
เมื่อพระพุทธศาสนาเข้ามาเผยแพร่ในดินแดนแถบนี้อย่างเป็นทางการโดยมีสมณฑูตจากพระเจ้าอโศกมหาราช
ซึ่งทำให้อาณาจักรและเมืองต่างๆ พากันยอมรับเอาพระพุทธศาสนาเป็นหลักของการครองอาณาจักร
กล่าวคือ เมื่อมีการสร้างเจดีย์ (พระบรมธาตุ) ขนาดใหญ่ขึ้นที่เมืองตามพรลิงค์
(เมืองนครศรีธรรมราช) และพระปฐมเจดีย์ (เมืองนครปฐม) แล้ว
เท่ากับเป็นการประกาศกำนำเอาพระพุทธศาสนาขึ้นเป็นหลักของอาณาจักรนี้
|