ชุมชนชาวต่างประเทศ (Foreign Communities) จัดเป็นองค์ประกอบสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อการก่อรูปและวิวัฒนาการของรัฐไทยตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
ยกตัวอย่างเช่น บทบาทของชุมชนชาวโปรตุเกสกับการทหารในสมัยกรุงศรีอยุธยา
และบทบาทของชาวจีนโพ้นทะเลกับการค้าในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์.
สำหรับชุมชนชาวอินเดียนั้น จัดว่ามีความเก่าแก่และมีอิทธิพลอย่างลึกซึ้งต่อพัฒนาการทางประวัติศาสตร์และการก่อตัวของอารยธรรมไทยในหลากหลายมิติ
เช่น แนวคิดทางการปกครองแบบเทวราชา (Devaraja) การออกแบบผังเมือง
และการก่อสร้างเทวสถานตามหลักจักรวาลวิทยา (Cosmology) การประกอบพิธีกรรมทางศาสนาของกลุ่มพราหมณ์ในราชสำนัก
หรือการเข้ามาประกอบอาชีพค้าขายของชาวอินเดียโพ้นทะเลในสมัยอาณานิคม
(Colonial Period)
ชุมชนชาวอินเดียในสังคมไทย
สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ตามเกณฑ์ประวัติศาสตร์
(1)
โดยกลุ่มแรกได้แก่ชุมชนพราหมณ์
(Brahmans) ซึ่งมีบทบาทสำคัญในราชสำนักและเริ่มอพยพจากอินเดียเข้าสู่ประเทศไทยเป็นเวลากว่าสองพันปีนับตั้งแต่สมัยต้นพุทธกาล
ทวารวดี สุโขทัย อยุธยา จนถึงรัตนโกสินทร์
สำหรับผู้อพยพ กลุ่มที่สองได้แก่ชุมชนชาวฮินดู
(Hindus) ซึ่งอพยพจากอินเดียเข้าสู่ประเทศไทยเป็นเวลาประมาณเจ็ดสิบถึงหนึ่งร้อยห้าสิบปี
เมื่อครั้งอินเดียยังตกอยู่ภายใต้การปกครองของอาณานิคมอังกฤษ
(British Colonialism) โดยกลุ่มชาวฮินดูมักประกอบอาชีพค้าขายและตั้งถิ่นฐานอยู่ตามย่านธุรกิจของกรุงเทพมหานคร
เช่น สุขุมวิท, สีลม, สาธร และสี่แยกบ้านแขก สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมของชุมชนพราหมณ์-ฮินดูนั้นจัดว่ามีประเด็นที่น่าสนใจดังต่อไปนี้
พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ของชุมชนพราหมณ์
:
กระบวนการอพยพและตั้งถิ่นฐานของชุมชนพราหมณ์ในสังคมไทยเริ่มก่อตัวขึ้นพร้อมกับการขยายตัวของกระบวนการภารตภิวัฒน์
(Indianization) ในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ โดยกลุ่มผู้ปกครองพื้นเมืองได้ปรับใช้วัฒนธรรมอินเดียและคติความเชื่อแบบเทวราชา
เพื่อสร้างความชอบธรรมและเพิ่มพูนบารมีทางการเมือง ผ่านการประกอบพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์ของกลุ่มพราหมณ์ราชปุโรหิต
ซึ่งส่งผลกระทบต่อการขยายตัวของชุมชนพราหมณ์ในกลุ่มบ้านเมืองแถบอุษาคเนย์
(Southeast Asia) อาทิเช่น ชุมชนพราหมณ์ในอาณาจักรศรีวิชัยทางคาบสมุทรมลายู
และอาณาจักรจามปาทางตอนใต้ของเวียดนาม
สำหรับการอพยพของกลุ่มพราหมณ์อินเดียเข้าสู่ประเทศไทยนั้น
สามารถแบ่งออกได้เป็นสามเส้นทางหลัก
โดย สายที่หนึ่ง เริ่มก่อตัวขึ้นในสมัยพุทธศตวรรษที่
301 เมื่อพระเจ้าอโศกมหาราช (Asoka) ทรงมีนโยบายกรีฑาทัพเข้าโจมตีแคว้นกลิงคะ
(Kalinga- โอริสาในปัจจุบัน) เพื่อสร้างความยิ่งใหญ่ให้กับแคว้นมคธ
(Magadha) และรวบรวมชมพูทวีป (Jampudvipa) ให้เป็นหนึ่งเดียว
จนนำไปสู่การอพยพครั้งใหญ่ของกลุ่มพราหมณ์และราษฏรชาวกลิงคะ
จากอินเดียตะวันออก ผ่านอ่าวเบงกอล แผ่นดินมอญ-พม่า และตัดข้ามเทือกเขาถนนธงชัย-ตะนาวศรีเข้าสู่ลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาของไทย
สำหรับ สายที่สอง นั้นเริ่มก่อตัวตั้งแต่สมัยราชวงศ์ปัลลวะ
(พุทธศตวรรษที่ 10-14) และราชวงศ์โจฬะของอินเดีย (พุทธศตวรรษที่
14-20) เมื่อแผ่นดินอุษาคเนย์เริ่มเป็นที่รับรู้ของกลุ่มพราหมณ์และพ่อค้าอินเดียในฐานะสุวรรณภูมิ
(Golden Continent) ซึ่งเป็นดินแดนที่อุดมสมบูรณ์ด้วยเครื่องเทศและของป่า
ตลอดจนเป็นจุดขนถ่ายสินค้าและจุดเชื่อมต่อทางอารยธรรมระหว่างกลุ่มแว่นแคว้นแถบมหาสมุทรอินเดียและแปซิฟิก
แผนที่แสดงเส้นทางอพยพของกลุ่มพราหมณ์เข้าสู่ประเทศไทย
สีเขียวหมายถึงเส้นทางสายที่หนึ่ง สีแดงหมายถึงเส้นทางสายที่สอง
และสีเหลืองหมายถึงเส้นทางสายที่สาม
การขยายตัวของการค้าระหว่างประเทศ และกิจการเผยแพร่ศาสนาผสมผสานกับอิทธิพลของลมมรสุมที่เพิ่มความรวดเร็วให้กับการเดินเรือ
จัดว่าเป็นปัจจัยดึงดูดและผลักดันให้ชาวอินเดียจำนวนมากเดินทางจากตอนใต้ของชมพูทวีป
ผ่านหมู่เกาะอันดามันและนิโคบาร์ในมหาสมุทรอินเดีย เข้าสู่ดินแดนทางตอนใต้ของไทย
เช่น เมืองตะกั่วป่า, พัทลุง, สงขลา, ไชยา และโดยเฉพาะอย่างยิ่งลิกอร์
(Lighor) หรือนครศรีธรรมราช ซึ่งเป็นศูนย์กลางของศาสนาพุทธและฮินดูในคาบสมุทรมลายู
เส้นทาง สายที่สาม หลังสถาปนากรุงศรีอยุธยา
เส้นทางสุดท้ายนี้เริ่มก่อตัวขึ้นหลังจากการสถาปนากรุงศรีอยุธยาในปี
พ.ศ. 1893 เมื่อมีการเคลื่อนกำลังของกองทัพสยามเข้าโจมตีเมืองพระนครของกัมพูชา
(Angkor) จนทำให้ เกิดการเทครัวและกวาดต้อนพราหมณ์ปุโรหิตและขุนนางในราชสำนักเขมรเข้ามายังพระนครศรีอยุธยา
โดยกลุ่มพราหมณ์เขมรส่วนใหญ่จัดว่ามีเชื้อสายมาจากชาวอินเดียที่อพยพจากหมู่เกาะชวาของอินโดนีเซียเข้ามายังอาณาจักรพระนคร
ตั้งแต่สมัยพระเจ้าชัยวรมันที่สอง (Jaivoraman the Second)
ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 14 และมีอิทธิพลต่อการก่อตัวของอารยธรรมไทยในสมัยต่อมา
โดยเฉพาะคติทางการปกครอง, การใช้คำราชาศัพท์, หลักกฎหมายพระมนูธรรมศาสตร์
และพิธีกรรมในราชสำนัก เช่น พิธีราชาภิเษก, โองการแช่งน้ำ,
และพิธีโล้ชิงช้า
การตั้งรกรากของชุมชนพราหมณ์ จัดว่ามีความต่อเนื่องเคียงคู่กับวิวัฒนาการของรัฐไทย
โดยเห็นได้จากการกระจายตัวของกลุ่มเทวสถานในเมืองโบราณสมัยทวารวดี
เช่น เมืองศรีเทพ จังหวัดเพชรบูรณ์, เมืองอู่ทองจังหวัดสุพรรณบุรี,
และเมืองศรีมโหสถ จังหวัดปราจีณบุรี, ส่วนในสมัยสุโขทัยนั้นได้มีการค้นพบอิทธิพลของศาสนาพราหมณ์กระจายตัวอยู่ตามเขตเมืองเก่า
และเขตอรัญญิกวาส เช่น ศาลตาผาแดงและวัดพระพายหลวง. ครั้นมาถึงสมัยกรุงศรีอยุธยา
ชุมชนพราหมณ์ได้มีการขยายตัวอย่างรวดเร็ว เนื่องจากคติทางการปกครองที่ให้ความสำคัญกับองค์พระมหากษัตริย์ในฐานะสมมุติเทพ
และภาคอวตารของพระวิษณุ (Vishnu Reincarnation) โดยมีการค้นพบหลักฐานเกี่ยวกับการตั้งถิ่นฐานของชุมชนพราหมณ์ในเขตกำแพงเมือง
และรอบวัดมหาธาตุ (Mahathatu Temple) ซึ่งถูกออกแบบให้เป็นศูนย์กลางของเมืองหลวงคล้ายคลึงกับเขาพระสุเมรุ
(Mount Meru) ซึ่งเป็นศูนย์กลางของจักรวาล นอกจากนี้ตามบันทึกของชาวตะวันตกที่เข้ามาพำนักในกรุงศรีอยุธยา
เช่น Nicholas Gervaise ยังได้กล่าวถึงบทบาทของกลุ่มพราหมณ์ปุโรหิตในการประกอบพระราชพิธีตรียัมปวายและตรีปวาย
เพื่อเพิ่มพูนบารมีทางการเมืองให้กับสมเด็จพระนารายณ์มหาราช
หลังการล่มสลายของกรุงศรีอยุธยาในปี พ.ศ. 2310 กลุ่มพราหมณ์ในราชสำนักได้ถูกกวาดต้อนไปยังกรุงอังวะ
(Ava) ของพม่าในขณะที่บางส่วนได้อพยพลี้ภัยไปอยู่ตามเมืองต่างๆ
เช่น เพชรบุรีและนครศรีธรรมราช ท่ามกลางภัยสงครามและสูญญากาศทางการเมือง
กลุ่มพราหมณ์ในนครศรีธรรมราชได้ก้าวเข้ามามีบทบาทในราชสำนักกรุงธนบุรี
เพื่อถ่ายทอดศิลปวิทยาการและชดเชยการขาดแคลนพราหมณ์หลังการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง
ในเวลาต่อมาเมื่อมีการสถาปนาราชวงศ์จักรีและการย้ายเมืองหลวงมายังกรุงเทพมหานคร
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงมีนโยบายรื้อฟื้นความรุ่งโรจน์ของอาณาจักรอยุธยาและอารยธรรมพราหมณ์-ฮินดู
เพื่อสร้างความเป็นปึกแผ่นให้กับสยามประเทศ โดยเห็นได้จากการสร้างพระบรมมหาราชวังที่จำลองแบบมาจากอยุธยาและการสร้างเสาชิงช้า
(Giant Swing) และเทวสถานโบสถ์พราหมณ์ในปี พ.ศ. 2327 ซึ่งจัดว่าเป็นศูนย์กลางของชุมชนพราหมณ์แห่งแรกในกรุงเทพมหานคร
อิทธิพลจากการรื้อฟื้นธรรมเนียมราชสำนักโบราณในสมัยรัชกาลที่หนึ่งได้ส่งผลให้กลุ่มพราหมณ์ที่กระจัดกระจายอยู่ตามเมืองต่างๆ
กลับมารวมตัวกันที่กรุงเทพฯ และเข้ารับราชการเป็นปุโรหิตและผู้ประกอบพิธีทางศาสนาให้กับราชวงศ์จักรี
แต่อย่างไรก็ตาม บทบาทของพราหมณ์ราชสำนักได้ลดลงอย่างรวดเร็ว
เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองไปสู่ระบอบประชาธิปไตยในปี
พ.ศ. 2475 (2) พระราชอำนาจที่ลดลงขององค์พระมหากษัตริย์
และการขยายตัวของแนวคิดทางการเมืองสมัยใหม่ ได้ส่งผลให้อิทธิพลของชุมชนพราหมณ์ทางด้านการเมืองและการปกครองต้องเสื่อมถอยลงอย่างรวดเร็ว
เคียงคู่กับการขยายตัวของโลกทัศน์แบบวิทยาศาสตร์ (Scientific
Worldview) ตลอดจนการถาโถมของกระแสโลกาภิวัฒน์ และวัฒนธรรมสมัยใหม่ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อการปรับตัวของชุมชนพราหมณ์ในสังคมไทยยุคปัจจุบัน
ลักษณะการตั้งถิ่นฐานของชุมชนพราหมณ์ในกรุงเทพมหานคร
:
หลังจากการก่อสร้างเสาชิงช้าและเทวสถานโบสถ์พราหมณ์ในปี
พ.ศ. 2327 การตั้งถิ่นฐานของชุมชนพราหมณ์ได้เริ่มก่อตัวขึ้นรอบๆ
เทวสถาน ถนนดินสอ และวัดสุทัศน์ โดยรูปแบบการตั้งถิ่นฐานมีความสัมพันธ์กับคติการสร้างบ้านแปลงเมืองของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู
โดยหากพิจารณาจากโครงสร้างผังเมืองของเกาะรัตนโกสินทร์
ที่รอบล้อมด้วยแม่น้ำเจ้าพระยาทางด้านตะวันตกและคลองคูเมืองทางด้านตะวันออก
จะเห็นว่าบริเวณเสาชิงช้าและวัดสุทัศน์จะตั้งอยู่ทางตรงใจกลางของพระนครซึ่งสะท้อนถึงความสัมพันธ์ระหว่างแผนผังจักรวาล
กับการจัดวางโครงสร้างผังเมือง จากบริบทดังกล่าว การก่อสร้างเสาชิงช้าจึงเปรียบเสมือนการจำลองเขาพระสุเมรุซึ่งเป็นแกนกลางของจักรวาลมาไว้ในกรุงเทพมหานคร
เพื่อเพิ่มพูนบารมีให้กับผู้ปกครองและเสริมความศักดิ์สิทธิ์ให้กับดวงเมือง
นอกจากนี้ เสาชิงช้ายังเป็นองค์ประกอบสำคัญในการประกอบพิธีตรียัมปวาย
เพื่อเป็นการต้อนรับการเสด็จมายังโลกมนุษย์ของพระอิศวร
เพื่อตรวจสอบความสมดุล ความมั่นคงและความมั่งคั่งของราชอาณาจักร
(3)
ธรรมเนียมการสร้างเสาชิงช้าและวัดสำคัญทางศาสนา
จัดเป็นจารีตทั่วไปของกลุ่มผู้ปกครองโบราณเพื่อเป็นสะพานเชื่อมต่อระหว่างโลกมนุษย์
และสวรรค์ ยกตัวอย่างเช่น การก่อสร้างวัดมหาธาตุที่อยุธยาและลพบุรี
หรือการก่อสร้างเสาชิงช้าและหอพระอิศวรที่นครศรีธรรมราช.
มรดกทางประวัติศาสตร์และธรรมเนียมการสร้างเมืองจัดเป็นพลังขับเคลื่อนสำคัญที่ทำให้เกิดการตั้งถิ่นฐานของชุมชนพราหมณ์รอบๆ
เสาชิงช้าและวัดสุทัศน์ เช่น กลุ่มอาคารบ้านเรือนของชุมชนโบสถ์พราหมณ์ในย่านถนนดินสอ
การพบปะสังสรรค์ของกลุ่มพราหมณ์บริเวณวัดสุทัศน์ หรือการร่ำเรียนพระเวทและภาษาสันสฤตภายในหอเวทวิทยาคม
บริเวณเทวสถานโบสถ์พราหมณ์ ซึ่งยังคงมีให้เห็นกันอยู่ในปัจจุบัน
ชุมชนพราหมณ์ในกรุงเทพมหานคร จัดว่าสืบเชื้อสายมาจากพราหมณ์นครศรีธรรมราช
และกลุ่มพราหมณ์ในสมัยกรุงศรีอยุธยา โดยเฉพาะพราหมณ์ศิริวัฒนะ
ซึ่งเป็นขุนนางปุโรหิตที่มีชื่อเสียงและเป็นบรรพบุรุษของข้าราชการ
และชนชั้นนำทางการเมืองในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น เช่น
เจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์) ต้นตระกูลสิงหเสนี, เจ้าพระยาพลเทพ
(ทองอิน) ต้นตระกูลทองอิน อินทรพล, และเจ้าพระยาสุธรรมมนตรี
(บุญศรี) ต้นตระกูลบูรณศิริ
สำหรับกลุ่มพราหมณ์ที่เข้ามาในประเทศไทยนั้นจัดเป็นพราหมณ์ในสังคมพุทธ
ดังนั้น การถือวรรณะจึงไม่ใช่การแบ่งแยกชนชั้นทางสัมคมเหมือนในประเทศอินเดีย
แต่เป็นเพียงการการรักษาธรรมเนียมของตระกูล (4) และเป็นการลดความเข้มงวดของลัทธิพราหมณ์-ฮินดูเพื่อให้เกิดการหลอมรวมเข้ากับพระพุทธศาสนา
ปัจจุบันชุมชนพราหมณ์ในกรุงเทพฯ
แบ่งออกได้เป็นสองกลุ่มใหญ่ๆ (5) ได้แก่
- กลุ่มพราหมณ์ที่ทำหน้าที่ประกอบพิธีในราชสำนัก
โดยกลุ่มพราหมณ์ดังกล่าวจัดเป็นข้าราชการในสำนักพระราชวัง
ซึ่งมีจำนวนเพียงแค่ 11 คน เช่น พระราชครูวามเทพมุนี,
พราหมณ์ศรีล รังสิพราหมณกุล, พราหมณ์ภพสาม สยมภพ และ
พราหมณ์ยศ โกมลเวทิน (6) บทบาทของกลุ่มพราหมณ์ในราชสำนักยุคปัจจุบันคือ
การประกอบพระราชพิธีในงานสำคัญตลอดจนการขยายบทบาทเกี่ยวกับการจัดทำวัตถุมงคล
และทำนายโชคชะตาให้กับกลุ่มนักธุรกิจและชาวบ้าน นอกจากนี้ยังมีการขยายบทบาทในการพัฒนาสังคมและการศึกษา
เช่น การจัดตั้งมูลนิธิพระพิฆเณศของพราหมณ์ขจร นาคะเวทิน
ใน ปี พ.ศ. 2537 ซึ่งจัดเป็นองค์กรสำคัญที่นำรายได้จากการบูชา
และสร้างรูปเคารพทางศาสนาฮินดูมามอบให้เป็นทุนการศึกษา
แก่เด็กและเยาวชนที่ขาดแคลนทุนทรัพย์
- พราหมณ์กลุ่มที่สองนั้นจัดเป็นชุมชนที่มองไม่เห็น
(Invisible Communities) เนื่องจากประกอบด้วยชนชั้นสูงและสามัญชนทั่วไปที่มิได้ประกอบอาชีพเป็นนักบวชเหมือนพราหมณ์ในกลุ่มแรก
แต่มีบรรพบุรุษเป็นข้าราชการที่สืบเชื้อสายมาจากพราหมณ์ในสมัยอยุธยาและรัตนโกสินทร์
เช่น สมาชิกในตระกูล จันทรโรจวงศ์, ชัชกุล, นรินทรกุล
และ บูรณศิริ โดยถึงแม้ว่ากลุ่มบุคคลในตระกูลดังกล่าว
จะมีชีวิตความเป็นอยู่เหมือนกับประชาชนทั่วไปและแทบไม่มีใครประกอบอาชีพเป็นพราหมณ์ในราชสำนัก
ยกเว้นในบางตระกูล เช่น รังสิพราหมณ์กุล แต่สมาชิกบางคนยังคงรับรู้และระลึกถึงบรรพบุรุษในอดีต
ตลอดจนมีความเชื่อบางประการเกี่ยวกับเทพเจ้าฮินดูและการสะสมวัตถุโบราณ
นอกจากนี้ การเปลี่ยนแปลงของสังคมไทยในยุคโลกาภิวัฒน์
และกระบวนการพัฒนาเมือง (Urbanization) ได้ส่งผลให้ตระกูลพราหมณ์ทั้งสองประเภท
มีลักษณะการตั้งถิ่นฐานกระจัดกระจายอยู่ทั่วกรุงเทพมหานครและเขตปริมณฑล
แต่อย่างไรก็ตาม ยังคงมีพราหมณ์บางกลุ่มที่ยังอาศัยอยู่แถวถนนดินสอและเสาชิงช้า
เช่น พราหมณ์ขจร นาคะเวทิน ตลอดจนยังคงมีการรวมตัวและพบปะสังสรรค์ของกลุ่มพราหมณ์ในเขตวัดสุทัศน์และเทวสถานอย่างต่อเนื่อง
ดังนั้นเทวสถานโบสถ์พราหมณ์ จึงยังคงทำหน้าที่เป็นศูนย์รวมทางจิตวิญญาณ
(Spiritual Centre) และการประกอบพิธีกรรมของชุมชนพราหมณ์ในกรุงเทพมหานคร
พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ของชุมชนฮินดู
:
กระบวนการอพยพและตั้งถิ่นฐานของชุมชนฮินดูในสังคมไทย เริ่มก่อตัวขึ้นพร้อมกับการขยายตัวของลัทธิอาณานิคมตะวันตก
(Western Colonialism) ในอินเดียและเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ประมาณปลายพุทธศตวรรษที่
23 จนถึงต้นพุทธศตวรรษที่ 24 โดยการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของประชากรในอินเดียและการเคลื่อนไหวเรียกร้องเอกราชจากอังกฤษ
จัดเป็นปัจจัยผลักดันที่ส่งผลกระทบต่อการอพยพของชาวอินเดียเข้าสู่ประเทศไทย
ซึ่งสามารถแบ่งออกได้เป็นสองเส้นทางหลักได้แก่
- เส้นทางอพยพทางทะเลผ่านหมู่เกาะอันดามันและนิโคบาร์
ตัดเข้าสู่สิงคโปร์ มะละกา (Melaka) มาเลเซีย จากนั้นจึงเป็นการเดินทางโดยรถไฟเข้าสู่ภาคใต้ของประเทศไทยและกรุงเทพมหานคร
- ส่วนเส้นทางอพยพสายที่สองนั้นเริ่มจากอินเดียเข้าสู่จิตตะกอง
(Chittagong)ในบังคลาเทศ จากนั้นจึงเดินทางโดยรถไฟตัดเข้าสู่พม่าและภาคเหนือของไทย
แล้วจึงลงใต้สู่กรุงเทพมหานคร (7)
สำหรับกลุ่มผู้อพยพชาวฮินดูนั้นจัดว่ามีความหลากหลายและสามารถแบ่งออกได้เป็นห้ากลุ่มหลักได้แก่
1) กลุ่มชาวฮินดูจากอุตตรประเทศ (Uttra Pradesh)
ทางตอนเหนือของอินเดีย ซึ่งประชากรส่วนใหญ่มักประกอบอาชีพเป็นคนส่งหนังสือพิมพ์
คนขายนมวัว และพนักงานรักษาความปลอดภัยในบริษัทต่างประเทศ
เช่น East Asiatic Company ลักษณะเด่นของชาวอินเดียอุตตรประเทศ
คือการนับถือพระวิษณุ โดยมีการจัดตั้งชุมชนในเขตสาธร และยานนาวา
ตลอดจนการจัดสร้างวัดวิษณุ เมื่อปี พ.ศ. 2458 เพื่อเป็นศูนย์รวมของชาวอุตตรประเทศในเขตกรุงเทพมหานคร
(8)
2) กลุ่มชาวฮินดูจากแคว้นซินด์ (Sind) และปัญจาบ
(Punjab) ซึ่งเข้ามาประกอบธุรกิจทอผ้าและนำเข้าส่งออกผลิตภัณฑ์สิ่งทอ
ชาวอินเดียกลุ่มดังกล่าวมักตั้งถิ่นฐานอยู่แถวสำเพ็ง และพาหุรัด
โดยถึงแม้ว่าประชากรส่วนใหญ่จะนับถือศาสนาซิกซ์และมีศูนย์กลางอยู่ที่คุรุสิงหสภา
ในย่านพาหุรัด แต่ก็มีชาวอินเดียบางกลุ่มนับถือศาสนาฮินดู
และแยกตัวออกมาจัดตั้งวิหารเทพมณเทียรแถวถนนศิริพงศ์เมื่อปี
พ.ศ. 2482 เพื่อเป็นศูนย์กลางของชาวฮินดูจากซินด์และปัญจาบ
โดยปัจจุบันชุมชนดังกล่าวได้รวมตัวกันจัดตั้งสมาคมฮินดูสมาชแห่งประเทศไทย
ซึ่งมีที่ทำการอยู่ที่โรงเรียนภารตะวิทยาลัย และอยู่ไม่ไกลจากวัดสุทัศน์
เสาชิงช้า และเทวสถานโบสถ์พราหมณ์
3) กลุ่มชาวฮินดูจากกุจราช (Gujarat) และราชสถาน
(Rajasthan) ซึ่งมักประกอบอาชีพค้าขายส่งออกและเจียระไนอัญมณี
โดยตั้งถิ่นฐานอยู่แถวถนนสีลมและสาธร กลุ่มชาวฮินดูดังกล่าวจัดว่ามีบทบาทสำคัญในสมัยอาณานิคม
และสงครามโลกครั้งที่สอง เนื่องจากทำหน้าที่เป็นตัวกลางเชื่อมต่อทางการค้าระหว่างประเทศไทย
อินเดีย และตะวันออกกลาง
4) กลุ่มชาวฮินดูจากทมิฬนาดูร์ (Tamil Nadur)
ซึ่งอพยพมาจากตอนใต้ของอินเดียและทางตอนเหนือของศรีลังกา
แถวคาบสมุทรจาฟนาร์ โดยส่วนใหญ่มักประกอบอาชีพเป็นครูสอนภาษาอังกฤษ
พนักงานบริษัทต่างประเทศและค้าขายทั่วไป สำหรับลักษณะเด่นของกลุ่มแขกทมิฬคือ
การบูชาพระศิวะและพระอุมาอย่างเหนียวแน่น จนนำไปสู่การสร้างวัดพระศรีรัตนมหาอุมาเทวี
หรือที่รู้จักกันดีว่าวัดแขก เพื่อเป็นศูนย์กลางทางศาสนาและการประกอบกิจกรรมของชาวฮินดูจากอินเดียใต้
และ
5) กลุ่มชาวฮินดูจากเบงกอล ซึ่งอพยพมาจากเมืองธาร์กา
(Dhaka) และจิตตะกองในบังคลาเทศตั้งแต่สมัยอาณานิคมอังกฤษ
ประชากรส่วนใหญ่มักประกอบอาชีพขายถั่ว เครื่องเทศ และเครื่องหอมบูชาเทพเจ้า
กลุ่มแขกเบงกอลมักนับถือศาสนาอิสลาม แต่ก็มีบางส่วนนับถือศาสนาฮินดู
โดยอพยพเข้ามาอาศัยอยู่กับแขกทมิฬในย่านวัดแขกและถนนสีลม
(9)
ชุมชนฮินดูในกรุงเทพมหานคร จัดว่ามีบทบาทสำคัญในการเคลื่อนไหวเรียกร้องเอกราชจากอังกฤษ
โดยกลุ่มผู้ลี้ภัยชาวอินเดียมักมองว่า ประเทศไทยคือฐานที่มั่นที่ปลอดภัยในการเคลื่อนไหวทางการเมือง
เมื่อเปรียบเทียบกับพม่าและมลายูซึ่งตกเป็นอาณานิคมของอังกฤษ
ในขณะเดียวกันบรรดานักการทูตและเจ้าหน้าที่อังกฤษได้เคยสงสัยว่า
พรรค Garthar ของอินเดียซึ่งดำเนินกิจกรรมเรียกร้องเอกราช
มีเครือข่ายการเคลื่อนไหวอยู่ที่กรุงเทพมหานคร ซึ่งส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ไทย-อังกฤษ
และอินเดีย (10) ต่อมาหลังจากอินเดียได้รับเอกราชอย่างเป็นทางการในปี
พ.ศ. 2490 การตั้งถิ่นฐานและการแสดงบทบาททางเศรษฐกิจของชุมชนฮินดู
ได้เริ่มขยายตัวอย่างรวดเร็วทั่วเขตกรุงเทพมหานคร
นอกจากนี้ในสมัยสงครางโลกครั้งที่สอง ชุมชนฮินดูยังได้แสดงบทบาททางการเมืองระหว่างประเทศ
เมื่อเกิดความขัดแย้งและเผชิญหน้าระหว่างกองทัพไทยกับกองทหารกัวระข่า
(Gokhar) ของอินเดียในเขตแดนเชียงตุง ประเทศพม่า โดยในครั้งนั้น
สวามีสัตยา นันทบุรี อาจารย์สอนภาษาสันสกฤตชาวฮินดูในคณะอักษรศาสตร์
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้รวบรวมชาวฮินดูเพื่อร่างจดหมายทั้งฉบับภาษาฮินดีและสันสกฤต
และนำไปส่งให้กองทัพอินเดียผ่านทางเฮลิคอปเตอร์อันเป็นการกรุยทาง
ไปสู่การยับยั้งการเผชิญหน้าของกองกำลังทั้งสองฝ่าย (11)
การกระทำของ สวามีสัตยา นันทบุรี และพรรคพวก จัดเป็นปัจจัยสำคัญที่นำไปสู่การถอนกำลังของทหารกัวระข่า
และเปิดทางไปสู่การเข้าครอบครองเชียงตุงของทหารไทย ซึ่งส่งผลให้นโยบายการขยายอำนาจของจอมพล
ป. พิบูลสงครามประสบความสำเร็จ และชุมชนฮินดูในกรุงเทพฯ
เริ่มได้รับความสนใจจากรัฐบาลในสมัยนั้น นอกจากนี้ สวามีสัตยา
นันทบุรี ยังได้เป็นผู้นำในการก่อตั้งอาศรมวัฒนธรรมไทย-ภารตะ
ซึ่งจัดเป็นองค์กรส่งเสริมและกระชับความสัมพันธ์ระหว่างไทย-อินเดีย
และเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างความเข้าใจทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม
ตลอดจนส่งเสริมบทบาทของชาวฮินดูในกรุงเทพมหานครทั้งในแง่ของการพัฒนาสังคม
การศึกษา และการดำเนินนโยบายการทูตเชิงวัฒนธรรม (Cultural
Diplomacy) กับประเทศอินเดีย
หลังจากการสถาปนาความสัมพันธ์ไทย-อินเดียเมื่อวันที่
30 กรกฎาคม พ.ศ. 2490
การตั้งถิ่นฐานของชุมชนฮินดู ได้มีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง
โดยในปัจจุบันได้มีชาวอินเดียตั้งหลักแหล่งอยู่แถวสีลม,
สาธร, ยานนาวา, พาหุรัต, สี่แยกบ้านแขก, และถนนสุขุมวิท
ตั้งแต่ซอย 1 ถึง 81 (แต่ละซอยประกอบด้วยชุมชนชาวฮินดูประมาณ
5-10 ครัวเรือน) (12) สำหรับลักษณะการตั้งถิ่นฐานของชาวฮินดูจัดว่ามีความสอดคล้องกับปัจจัยทางเศรษฐกิจ
โดยชาวฮินดูมักตั้งถิ่นฐานอยู่ตามย่านธุรกิจสำคัญในเขตกรุงเทพมหานคร
นอกจากนี้ การตั้งถิ่นฐานยังมีลักษณะพิเศษและแตกต่างกันไปในแต่ละชุมชน
โดยในบทความฉบับนี้ ผู้เขียนขอยกตัวอย่างเพียงแค่ลักษณะการตั้งถิ่นฐานของชาวฮินดูจากอุตตรประเทศในวัดวิษณุ
เขตยานนาวา ซึ่งผู้เขียนมองว่ามีความน่าสนใจและเป็นประเด็นแปลกใหม่เกี่ยวกับการตั้งถิ่นฐานของชาวอินเดียในสังคมไทย
นอกจากนี้ ผู้เขียนขอทำการนำเสนอเฉพาะในมิติทางศาสนาและวัฒนธรรม
แทนที่การนำเสนอในมิติทางเศรษฐกิจเพื่อให้สอดคล้องกับเนื้อหาโดยรวม
ลักษณะการตั้งถิ่นฐานของชุมชนฮินดูใน
วัดวิษณุ (Vishnu Temple)
จัดเป็นศูนย์รวมของชาวฮินดูจากอินเดียเหนือ และได้รับการยกย่องว่าเป็นวัดฮินดูที่มีความโดดเด่นในอุษาคเนย์
เนื่องจากเป็นที่ประดิษฐานของรูปสลักเทพเจ้าฮินดูที่ทำมาจากหินอ่อน
และมีลักษณะงดงามได้สัดส่วนจำนวน 24 องค์ นอกจากนี้วัดวิษณุยังถูกพัฒนาให้เป็นสมาคมฮินดูธรรมสภา
ซึ่งจัดเป็นองค์กรทางศาสนาที่มีบทบาทสำคัญเคียงคู่กับ
สมาคมฮินดูสมาช ในโรงเรียนภารตะวิทยาลัย
วัดวิษณุ หรือ สมาคมฮินดูธรรมสภา
ตั้งอยู่ เลขที่ 50 ซอยวัดปรก แขวงทุ่งวัดดอน
เขตยานาวา จัดตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2458 โดยชาวอินเดียที่มาจากแคว้นอุตตรประเทศ
หรือที่เรียกกันว่า พวกยูพี (U.P. - United Province or
Uttra Pradesh) โดยมีคณะกรรมการบริหารงานชุดหนึ่ง ซึ่งเลือกตั้งมาจากสมาชิกสามัญทุกๆ
ปี คณะกรรมการบริหารของสมาคมได้ร่วมกับชาวอินเดียในประเทศไทยจัด
ซื้อที่ดินและสร้างเทวาลัยวัดวิษณุขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2463
เพื่อประกอบพิธีกรรมทางศาสนาพราหมณ์ฮินดู (13)
หลังจากนั้น จึงมีการสร้างห้องสมุดวัดวิษณุ สุสานฮินดู
ศิวาลัย และเทวาลัยพระศรีหนุมาน ส่วนสาเหตุที่เลือกซื้อที่ดินแถวยานนาวาเพื่อสร้างเป็นเทวาลัยนั้น
สืบเนื่องมาจากในสมัยก่อนที่ดินย่านดังกล่าวมีราคาถูก
ประกอบกับชาวอุตตรประเทศก็ประกอบอาชีพอยู่แถววัดดอนและถนนตก
มากกว่าย่านอื่นๆ ของกรุงเทพมหานครจึงทำให้สะดวกต่อการติดต่อและไปมาหาสู่
(14) นอกจากนี้ ลักษณะภูมิศาสตร์ของเขตยานนาวาซึ่งประกอบด้วยที่ราบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา
สลับกับที่ดอนยังมีความสอดคล้องกับลักษณะการตั้งถิ่นฐานของชาวอินเดียเหนือ
ตามเมืองพาราณศรีและอโยธยา ซึ่งมักตั้งถิ่นฐานอยู่ตามที่ดอนแต่ไม่ไกลจากฝั่งแม่น้ำคงคาและสาขามากนัก
วัดวิษณุจัดเป็นศูนย์รวมในการประกอบพิธีทางศาสนา
โดยมีการจัดหาที่พักให้กับนักบวชที่เดินทางมาจากอินเดียผ่านการประสานงานของสมาคมฮินดูธรรมสภา
ตลอดจนเป็นแหล่งพบปะสังสรรค์ของนักธุรกิจฮินดูและชาวอินเดียเชื้อสายอุตตรประเทศแถวยานนาวา
ซึ่งตั้งถิ่นฐานอยู่ไม่ไกลจากวัดวิษณุ โดยในปัจจุบัน บัณฑิต
วิทยาธร ศุกุล จัดเป็นเสาหลักสำคัญของการประกอบกิจการทางศาสนาภายในวัดวิษณุ
ส่วน นาย กฤษณะ ดี อุปเดียร์ จัดเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาชุมชนฮินดูในเขตยานนาวา
และดำรงตำแหน่งนายกสมาคมฮินดูธรรมสภาคนปัจจุบัน
ความโดดเด่นของชุมชนรอบวัดวิษณุคือ การหลอมรวมและสมานฉันท์ระหว่างชาวฮินดูกับชุมชนชาวต่างประเทศ
ตั้งถิ่นฐานอยู่ในเขตยานนาวาอันประกอบด้วย ชุมชนชาวมอญ-พม่า-ไทย
นย่านวัดปรกและถนนทวาย, ชุมชนชาวมุสลิมรอบมัสยิดยะวา,
ชุมชนชาวไทย-จีนแถวสุสานวัดดอน, และชุมชนชาวคริสต์ในย่านบางรักและสาธร
(15) โดยสำหรับการปะทะสังสรรค์กับชุมชนชาวมอญ-พม่านั้น
ได้เริ่มขึ้นจากนโยบายการขยายอำนาจทางการทหารของพม่าในสมัยพระเจ้าปดุง
(Bodawpaya) ซึ่งทำให้มีชาวมอญและพม่าเป็นจำนวนมาก อพยพลี้ภัยสงครามเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารแห่งราชวงศ์จักรี
แล้วค่อยๆตั้งหลักแหล่งปะปนกับคนไทยแถววัดปรกและยานนาวา
ต่อมาเมื่อชาวฮินดูอุตตรประเทศได้เข้ามาสร้างเทวาลัยวัดวิษณุ
ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับวัดปรก จึงเกิดการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมระหว่างชาวฮินดูกับชาวพุทธ
โดยกลุ่มชาวอุตตรประเทศได้ทำการบริจาคเทวรูป ตลอดจนดินและน้ำศักดิ์สิทธิ์ในเขตพุทธสถานจากประเทศอินเดียให้กับวัดปรก
ซึ่งสร้างความพอใจให้กับคนไทย-มอญและพม่า ในขณะเดียวกัน
ชาวชุมชนรอบวัดปรกก็นิยมเข้าไปนมัสการและบูชาเทพเจ้าฮินดูในวัดวิษณุ
เพื่อตรวจสอบโชคชะตาและเพิ่มพูนสิริมงคลให้กับชีวิต โดยเฉพาะชาวมอญและพม่านั้นจัดว่ามีความเชื่อและศรัทธาทั้งพระพุทธศาสนาและเทพเจ้าของศาสนาฮินดู
สำหรับความสัมพันธ์กับชาวมุสลิมนั้นจะพบว่า ในสมัยอาณานิคม
กลุ่มชาวชวาบางส่วนจากอินโดนิเซียได้ถูกเกณฑ์เป็นแรงงานให้กับบริษัทต่างประเทศของเนเธอร์แลนด์
ซึ่งมีฐานการผลิตอยู่ตามฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาในเขตบางรัก
สีลม และยานนาวา ครั้นต่อมากลุ่มชาวมุสลิมอินโดนิเซียได้ตั้งหลักแหล่งแถวยานนาวา
โดยมีศูนย์กลางอยู่ที่มัสยิดยะวาซึ่งอยู่ไม่ไกลจากวัดวิษณุ
ความสัมพันธ์ระหว่างชาวฮินดูกับมุสลิมเกิดจากความเห็นอกเห็นใจกันในการตกเป็นเมืองขึ้นของอาณานิคมตะวันตก
ตลอดจนมีการขยายความร่วมมือระหว่างชุมชนทั้งในแง่ของการต่อต้านลัทธิอาณานิคมในอดีต
ตลอดจนการพัฒนาท้องถิ่น เช่น การจัดทำกิจกรรมสมานฉันท์ทางศาสนาระหว่างฮินดูกับอิสลาม
(16)
ส่วนความสัมพันธ์กับชุมชนชาวไทย-จีนนั้น จัดว่ามีความน่าสนใจเนื่องจากเขตยานนาวาจัดเป็นที่ตั้งของสุสานวัดดอน
และสมาคมต่างๆ ของชาวจีนในกรุงเทพมหานคร การมีปฏิสัมพันธ์กับชาวจีนมักเป็นไปในลักษณะของการผสมผสานทางศาสนา
ยกตัวอย่างเช่น เมื่อมีการประกอบพิธีฝังศพในสุสานวัดดอน
กลุ่มชาวไทย-จีนมักทำการเชิญนักบวชและชาวอุตตรประเทศเข้ามาประกอบพิธีกรรมเพื่อเพิ่มความศักดิ์สิทดิ์
ในขณะเดียวกัน ความเชื่อของชาวไทยจีนเกี่ยวกับเทวตำนาน
ได้เริ่มขยายตัวจากพระโพธิสัตย์ เจ้าแม่กวนอิม ไปสู่เทพในศาสนาฮินดู
เช่น พระวิษณุและพระพิฆเณศ ซึ่งจัดเป็นปัจจัยสำคัญในการส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างสองชุมชน
ส่วนความสัมพันธ์กับชุมชนชาวคริสต์นั้นจะพบว่าย่านสาธร
บางรัก และยานนาวา จัดเป็นศูนย์กลางของการค้าระหว่างประเทศและเป็นที่ตั้งของสถานทูตตะวันตก
ตลอดจนโรงเรียนทางคริสต์ศาสนา เช่น อัสสัมชัญ และกรุงเทพคริสต์เตียน
โดยชาวอุตตรประเทศบางคนได้ถูกว่าจ้างเป็นอาจารย์สอนภาษาอังกฤษและหลักศาสนาฮินดู
เนื่องจากมีความคล่องแคล่วทางการสอนและมีอัตราจ้างที่ถูกกว่าชาวตะวันตก
ในขณะเดียวกัน ชาวอุตตรประเทศยังได้ไปประกอบอาชีพเป็นพนักงานรักษาความปลอดภัยตามบริษัทต่างชาติ
เนื่องจาก ชาวอุตตรประเทศมักมีรูปร่างกำยำและสูงใหญ่ซึ่งสามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความปลอดภัย
(17)
ดังนั้นจากลักษณะความสัมพันธ์ระหว่างชาวฮินดูรอบวัดวิษณุกับชุมชนต่างประเทศกลุ่มต่างๆ
จะพบว่า การผสมผสานทางศาสนา ความผูกพันทางประวัติศาสตร์ในยุคอาณานิคม
และลักษณะการประกอบอาชีพ ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่สร้างความโดดเด่นให้กับชุมชนอุตตรประเทศ
ตลอดจนส่งเสริมให้วัดวิษณุกลายเป็นสถานที่สำคัญในการบูรณาการทางศาสนา
และวัฒนธรรมในเขตกรุงเทพมหานคร
บทสรุป :
การศึกษาชุมชนพราหมณ์-ฮินดูในกรุงเทพมหานคร
จัดเป็นประเด็นแปลกใหม่และน่าสนใจ โดยสามารถสรุปได้ว่า ชุมชนพราหมณ์มีลักษณะเป็นชุมชนดั้งเดิม
(Native Communities) เคียงคู่กับการก่อรูปและวิวัฒนาการของรัฐไทย
สืบเนื่องมาจากการปรากฎตัวของเส้นทางการอพยพที่มาพร้อมกับกระบวนการภารภิวัฒน์ในอุษาคเนย์
การแสดงบทบาทของกลุ่มพราหมณ์ในราชสำนักตั้งแต่ยุคจารีตจนถึงปัจจุบัน
และการปรับตัวอย่างกลมกลืนทางด้านชาติพันธุ์และการผสมผสานทางศาสนาระหว่างพุทธและพราหมณ์
ดังนั้น ชุมชนพราหมณ์จึงกลายเป็นองคาพยพสำคัญที่สะท้อนถึงความต่อเนื่องทางประวัติศาสตร์
และกระบวนการผ่องถ่ายวัฒนธรรมอินเดียในสังคมไทย
ในขณะเดียวกัน ชุมชนฮินดูตามโลกทัศน์และการรับรู้ของคนไทยจัดว่าเป็นชุมชนต่างประเทศ
(Foreign Communities) เนื่องจากลักษณะการอพยพที่มาพร้อมกับกระบวนการล่าอาณานิคมและการแพร่กระจายของภาวะทันสมัย
(Modernization) ทำให้ขาดความต่อเนื่องทางประวัติศาสตร์
ตลอดจนการผสมผสานทางศาสนาและชาติพันธุ์ยังขาดความกลมกลืนเมื่อเทียบกับกลุ่มพราหมณ์
อาทิเช่น ลักษณะรูปร่างหน้าตา การรักษาอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรม
และการรับรู้เกี่ยวกับมาตุภูมิ (Motherland) ซึ่งชาวฮินดูบางกลุ่มมีความรู้เกี่ยวกับประเทศอินเดียมากกว่าประเทศไทย
อย่างไรก็ตาม ชาวฮินดูในเขตกรุงเทพมหานครจัดว่ามีบทบาทสำคัญทางด้านการค้า
การเผยแพร่ศาสนาฮินดู และการส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศกับอินเดียมากกว่ากลุ่มพราหมณ์
ซึ่งถูกจำกัดบทบาทเฉพาะในราชสำนักและการรักษาวัฒนธรรมพราหมณ์ในสังคมไทย
ดังนั้น ถึงแม้จะมีความแตกต่างกันในมิติทางประวัติศาสตร์และการบูรณาการทางสังคมระหว่างชาวฮินดูทั้งสองกลุ่ม
การก่อรูปและพัฒนาการของชุมชนพราหมณ์-ฮินดูในกรุงเทพมหานคร
ก็จัดเป็นองค์ประกอบสำคัญที่สะท้อนภาพลักษณ์ทางประวัติศาสตร์เกี่ยวกับการอพยพ
และตั้งถิ่นฐานของชาวอินเดียในสังคมไทยได้อย่างชัดเจนและรอบด้าน
เชิงอรรถ
(1) การแบ่งในลักษณะดังกล่าวจัดเป็นการแบ่งแบบคร่าวๆ
โดยเน้นกลุ่มชาวอินเดียที่นับถือศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ซึ่งอพยพเข้าสู่ประเทศไทยในช่วงเวลาที่แตกต่างกัน
นอกจากนี้กลุ่มชาวอินเดียในประเทศไทย ยังหมายถึงกลุ่มอินเดียที่นับถือศาสนาอิสลาม
ซิกซ์ และพุทธศาสนา แต่ในบทความฉบับนี้จะทำการศึกษาเพียงกลุ่มพราหมณ์-ฮินดูในกรุงเทพมหานครเท่านั้น
(2) สัมภาษณ์พราหมณ์ขจร นาคะเวทิน ณ มูลนิธิพระพิฆเนศ
ถนนดินสอ กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ.
2549
(3) เพิ่งอ้าง
(4) เทวสถาน โบสถ์พราหมณ์, ประวัติศาสนาพราหมณ์-ฮินดู
(เอกสารเผยแพร่), หน้า 16.
(5) การแบ่งดังกล่าวเป็นไปตามทรรศนะและการวิเคราะห์ส่วนตัวของผู้เขียน
(6) มูลนิธิพระพิฆเณศ, ประวัติศาสนาพราหมณ์และพระมหาเทพ
๗ องค์ (กรุงเทพฯ: โอ.เอส.พริ้นติ้ง เฮ้าส์, 2546), หน้า
52.
(7) สัมภาษณ์บัณฑิต วิทยากร ศุกุล ณ บ้านพักส่วนบุคคล
สี่แยกบ้านแขก เมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2549
(8) เพิ่งอ้าง
(9) เพิ่งอ้าง
(10) เพิ่งอ้าง
(11) เพิ่งอ้าง
(12) เพิ่งอ้าง
(13) สมาคมฮินดูธรรมสภา, ฮินดูธรรมสภาวัดวิษณุ (กรุงเทพฯ:
โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย, 2531). หน้า 52.
(14) เพิ่งอ้าง
(15) ผลจากการสอบถามชาวบ้านและลงพื้นที่สำรวจเขตยานนาวาของผู้เขียนระหว่างวันที่
3 และ 4 เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2549
(16) เพิ่งอ้าง
(17) เพิ่งอ้าง
เอกสารอ้างอิง
(หนังสือภาษาอังกฤษ)
Amarijiva Lochan. The Brahmans in Pre Sukhothai Thailand:
A Socio-Cultural Study in Adoption and Adaptation. Bangkok:
Chulalongkorn University, 1996.
Coedes,C. The Indianized States of Southeast Asia,
Honolulu: A East-West Centre, 1988.
Dawee Daweewarn. Brahmanism in Southeast Asia: from
the earliest time to 1445 A.D. New Delhi: Aterling Pub,
1982.
Mohammad, Ayoob. India and Southeast Asia: Indian Perceptions
and Policies. New York: Routledge, 1990.
Quaritch, H.G. the Indianization of China and of Southeast
Asia, London: Bernard Quaritch, 1967.
Santosh Nagpual. Hinduism in Thai life. Bombay: Popular
Prakashan, 1982.
U.A. Amith. Asoka: the Buddhist Emperor of India. Oxford:
Clarendon Press, 1909.
Walsh, M. A History of Philosophy. London: Geoffrey
Chapmen, 1985.
หนังสือภาษาไทย
ชาญวิทย์ เกษตรศิริ. อยุธยา: ประวัติศาสตร์และการเมือง.
กรุงเทพฯ: มูลนิธิโครงการตำราทางสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์,
๒๕๔๔.
แซร์แวส, นิโกลาส์ เดอ. ประวัติศาสตร์ธรรมชาติและการเมืองแห่งราชอาณาจักรสยาม.
แปลโดยสันต์ ท. โกมลบุตร, กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์ก้าวหน้า,
๒๕0๖.
บุญสม รดาเจริญ. อินเดีย : แหล่งกำเนิดพุทธศาสนา.กรุงเทพฯ:
ประพันธ์สาส์น, ๒๕๔๒.
มูลนิธิพระพิฆเณศ. ประวัติศาสนาพราหมณ์และพระมหาเทพ ๗
องค์. กรุงเทพฯ: โอ.เอส.พริ้นติ้ง เฮ้าส์, ๒๕๔๖.
วิเชียร ณ นคร. นครศรีธรรมราช. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์อักษรสัมพันธ์,
๒๕๒๑.
ศรีศักร วัลลิโภดม. นครหลวงของไทย. กรุงเทพฯ: เมืองโบราณ,
๒๕๔๒.
สมาคมฮินดูธรรมสภา. ฮินดูธรรมสภาวัดวิษณุ. กรุงเทพฯ:
โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย, ๒๕๓๑.
สถานเอกอัคราชทูตอินเดีย. ความสัมพันธ์ไทย- อินเดีย (จุลสาร).
กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์พิมพ์วิไล, ๒๕๒๒.
อรุณ เฉตตีย์. อินเดีย : แผ่นดินมหัศจรรย์. มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์:
ศูนย์อินเดียศึกษา, ๒๕๓๙.
สื่อออนไลท์ภาษาอังกฤษ
Charuwan Chareonla. "Buddhist Arts of Thailand."
2005. (22 January 2006).
Hoskin, John. "Thai Brahmans." 2006.
< http:// http://www.mahidol.ac.th/thailand/brahmans.html>
(21 January 2006).
Phasook Indrawooth. "Dvaravati, the Early Buddhist
Kingdom of Thailand." 2003.
(23 January 2006).
Ram Upendra Das. "A Feasibility on A Free Trade
Agreement between India and Thailand." 2002. (23
January 2006).
Sanjay Kulakarni. "History Repeats." 2004.
(22 January 2006).
Watt, David K. "Southeast Asia - Past and Present."
1990. (21 January 2006).
ที่มา - มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
http://www.midnightuniv.org
เผยแพร่บนเว็บไซต์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
|