ลักษณะทั่วไปของปรัชญาอินเดีย
มีผู้เข้าใจว่า ปรัชญาอินเดีย หมายถึงปรัชญาฮินดู
ซึ่งเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนหรือไม่ตรงกับความเป็นจริง
ความหมายที่ถูกต้องของคำว่า ปรัชญาอินเดีย คือ ปรัชญาทุกสำนักหรือทุกระบบที่เกิดขึ้นในอินเดีย
หรือที่คิดสร้างสรรค์ขึ้นไว้โดยศาสดาและนักคิดที่เคยมีชีวิตอยู่หรือกำลังมีชีวิตอยู่ในอินเดีย
เพราะฉะนั้น ปรัชญาอินเดียจึงรวมถึงปรัชญาฮินดู พุทธ เชน เป็นต้น
ความแตกต่างระหว่างปรัชญาอินเดียกับปรัชญาตะวันตก
ปรัชญาอินเดียมุ่งแสวงหาความจริงเกี่ยวกับโลกและชีวิตเช่นเดียวกับปรัชญาตะวันตก
แต่มีข้อแตกต่างที่สำคัญคือ ปรัชญาตะวันตกมุ่งแสวงหาความจริงหรือข้อเท็จจริงเพียงอย่างเดียว
โดยไม่พยายามที่จะปฏิบัติตนเพื่อให้เข้าถึงความจริงที่ได้แสวงหาพบแล้ว
เพราะฉะนั้นนักปรัชญาตะวันตกจึงอาจดำเนินชีวิตไปในทางที่ตรงกันข้ามกับแนวความคิดทางปรัชญาของตนก็ได้
อีกอย่างหนึ่ง ปรัชญาตะวันตกส่วนใหญ่ไม่เกี่ยวกับศาสนาหรือเป็นคนละส่วนกับศาสนา
แต่ปรัชญาอินเดียไม่สามารถแยกออกจากศาสนาได้เด็ดขาด ทั้งนี้เพราะนักปรัชญาหรือนักคิดขาวอินเดียนั้น
เมื่อแสวงหาความจริงจนพบแล้ว ก็พยายามที่จะปฏิบัติตนตามวิธีการที่กำหนดขึ้นไว้
เพื่อเข้าถึงความจริงนั้นๆ ฉะนั้น ปรัชญาอินเดียทุกระบบจึงเป็นปรัชญาชีวิต
เพราะแนวความคิดทางปรัชญาที่คิดค้นขึ้นได้นั้น ได้นำมาใช้ปฏิบัติในชีวิตประจำวันด้วย
โดยลักษณะดังกล่าวนี้ ปรัชญากับศาสนาของอินเดียจึงมักไปด้วยกันเสมอ
วิธีการแห่งปรัชญาอินเดีย
ปรัชญาอินเดียมีวิธีการเป็นแบบฉบับของตนเอง คือก่อนที่จะเสนอแนวคิดของตนเองขึ้นมา
นักปรัชญาหรือนักคิดอินเดียจะเสนอแนวความคิดของนักปรัชญาคนอื่นหรือระบบอื่นเสียก่อน
แนวความคิดของนักปรั๙ยาคนอื่นหรือระบบอื่นที่เสนอก่อนนี้เรียกว่า
ปูรวปักษ์ เมื่อเสนอแนวความคิดของคนอื่นขึ้นมาแล้ว ต่อจากนั้น
นักปรัชญาคนนั้นก็จะวิเคราะห์ว่าแนวความคิดเช่นนั้นมีจุดอ่อนหรือข้อบกพร่องอย่างไร
มีความหมายสมควรแก่การยอมรับเชื่อถือหรือไม่ การวิพากษ์วิจารณ์นี้เรียกว่า
ขัณฑนะ เมื่อได้ยกทรรศนะของคนอื่นขึ้นมาชี้ให้เห็นข้อบกพร่องแล้ว
นักปรัชญาคนนั้นจึงเสนอแนวความคิดทางปรัชญาของตน พร้อมกับอธิบายให้เห็นว่าทรรศนะของตนนั้นถูกต้องอย่างไรบ้าง
ทรรศนะของตนเอาที่เสนอขึ้นมาทีหลังนี้เรียกว่า อุตตรปักษ์
ด้วยเหตุที่วิธีการแห่งปรัชญาอินเดียมีลักษณะดังกล่าวมานี้
จึงปรากฎว่าในบันทึกแนวความคิดทางปรัชญาระบบต่างๆของอินเดียนอกจากจะมีแรวความคิดของตนเองโดยเฉพาะแล้ว
ยังมีคำวิพากษ์วิจารณ์แนวความคิดของระบบอื่นๆปรากฎรวมอยู่ด้วยเสมอ
ระบบต่างๆแห่งปรัชญาอินเดีย
ตามวิธีปฏิบัติกันมาในการจัดแบ่งระบบต่างๆของปรัชญาอินเดียนั้น
ถือเอาลักษณะกว้างๆโดยอาศัยความขัดแย้งกันเป็นสำคัญ โดยวิธีดังกล่าวนี้
ปรัชญาอินเดียจึงแบ่งออกเป็นระบบหรือสายใหญ่ๆ 2 สาย คือ
อาสติกะ (Orthodox) สายหนึ่ง และ นาสติกะ (Heterodox)
สายหนึ่ง สายอาสติกะ มีระบบปรัชญาที่สำคัญที่เรียกว่าระบบทั้ง
6 แห่งปรัชญาอินเดีย ได้แก่ นยายะ ไวเศษิกะ สางขยะ โยคะ
มีมางสา เวทานตะ การที่ปรัชญาทั้ง 6 ระบบนี้ได้ชื่อว่าสายอาสติกะนั้น
มิใช่เพราะว่าระบบทั้งหกนี้มีความเชื่อถือในความมีอยู่ของพระผู้เป็นเจ้าสูงสุด
แต่เพราะระบบเหล่านี้ยอมรับนับถือความขลังความถูกต้องสมบูรณ์และความศักดิ์สิทธิ์ของพระเวท
สายนาสติกะ มีระบบปรัชญาที่สำคัญอยู่ 3 ระบบ
คือ ปรัชญาจารวาก พุทธปรัชญา และ ปรัชญาแห่งศาสนาเชน
ปรัชญาทุกระบบล้วนแต่ได้นับอิทธิพลมาจากคัมภีร์พระเวททั้งสิ้น
จะต่างกันก็แต่ว่าได้รับอิทธิพลจากพระเวทโดยตรงหรือโดยอ้อมเท่านั้น
ปรัชญาระบบต่างๆที่เชื่อถือในความขลังและความศักดิ์สิทธิ์ของพระเวทได้ชื่อว่าได้รับอิทธิพลของพระเวทโดยตรง
ส่วนปรัชญาที่คัดค้านหรือไม่ยอมเชื่อในความขลังและความศักดิ์สิทธิ์ของพระเวทได้ชื่อว่าได้รับอิทธิพลของพระเวทโดยอ้อม
ปรัชญาพวกแรกได้แก่ระบบทั้ง 6 แห่งปรัชญาอินเดียดังที่กล่าวมานั่นเอง
ส่วนพวกหลังได้แก่ปรัชญาจารวาก พุทธปรัชญาและปรัชญาแห่งศาสนาเชนดังกล่าวมาแล้ว
พัฒนาการแห่งปรัชญาอินเดีย
ในประวัติศาสตร์แห่งปรัชญาอินเดียนั้น เราจะพบว่าปรัชญาทุกระบบแม้ว่าจะไม่ได้เกิดขึ้นพร้อมกันก็ตาม
แต่เมื่อเกิดขึ้นมาแล้วก็ดำรงอยู่ร่วมกันกับระบบอื่นๆ ที่เป็นเช่นนี้ก็เนื่องจากว่าปรัชญาอินเดียเป็นปรัชญาชีวิต
เมื่อเกิดขึ้นแล้วก็มีประชาชนกลุ่มหนึ่งเลื่อมใสและรำเอาแนวความคิดทางปรัชญานั้นมาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันของตน
และถ่ายทอดให้แก่อนุชนในรุ่นต่อๆมา พัฒนาการแห่งปรัชญาอินเดียนั้นเป็นไปในลักษณะที่ต่างก็วิพากษ์วิจารณ์ซึ่งกันและกัน
ซึ่งไม่เพียงแต่เป็นวิธีที่รักษาและเชิดชูปรัชญาของตนเท่านั้น
แต่ยังทำให้มีการเคลื่อนไหวทางปรัชญาอยู่เสมออีกด้วย โดยประการดังกล่าวมานี้
วงการทางปรัชญาของอินเดียจึงไม่มีการหยุดนิ่งนับตั้งแต่กาลอันเป็นอดีตมาจนกระทั่งปัจจุบันนี้
ปรัชญาอินเดียทุกระบบเริ่มต้นด้วยการแสดงทรรศนะทางวาจาหรือคำพูด
ทรรศนะทางปรัชญาเช่นนั้นจะถูกถ่ายทอดให้แก่สานุศิษย์หรือผู้เลื่อมใส
ซึ่งสานุศิษย์ทั้งหลายจะทรงจำหรือท่องจำเอาไว้แล้วถ่ายทอดให้แก่ผู้เป็นศิษย์ต่อๆไปโดยลำดับ
กาลต่อมาผู้สืบต่อปรัชญาแต่ละระบบเห็นความจำเป็นที่จะรักษาแนวความคิดทางปรัชญาในระบบของตนไว้ไม่ให้เสื่อมสูญ
จึงรวบรวมแนวความคิดทางปรัชญานั้นไว้เป็นหมวดหมู่ เรียกว่า สูตร
คำว่า สูตร เป็นภาษาสันสกฤต บาลีใช้ว่า สุตตะ
แปลว่าเส้นด้าย ใช้ในความหมายส่า รวบรวมเอาคำสอนเข้าไว้ด้วยกัน
เหมือนเส้นด้ายที่ร้อยดอกไม้ต่างๆเข้าด้วยกันไม่ให้กระจัดกระจายไป
สูตรดังกล่าวนี้ เช่น พรหมสูตร ของพาทรายณะซึ่งแต่งอธิบายแนวความคิดทางปรัชญาแห่งคัมภีร์อุปนิษัท
โยคสูตรของกนาทะ มีมามสาสูตรของไชมินิ นยายสูตรของโคตมะ เป็นต้น
สูตรต่างๆเหล่านี้ทีแรกก็ใช้ท่องจำต่อๆกันมา แต่ภายหลังได้จดจารึกขึ้นไว้เป็นลายลักษณ์อักษรเพื่อเก็บรักษาไว้ให้คงอยู่ตลอดไป
ข้อความในสูตรต่างๆ มีเนื้อความย่อกะทัดรัด บรรจุเอาไว้เฉพาะใจความสำคัญ
บางทีเป็นข้อความสั้นๆแต่อมใจความไว้มาก ยากแก่การเข้าใจสำหรับผู้ที่ยังไม่สันทัดต่อแนวความคิดนั้นๆ
กาลต่อมาคณาจารย์ของลัทธินั้นๆ จึงได้แต่งคำอธิบายข้อความที่กล่าวไว้ในสูตรเหล่านั้น
ข้อความหรือคัมภีร์ที่แต่งอธิบายสูตรนี้เรียกว่า ภาษยะ
บาลีใช้คำว่า อรรถกถา
ข้อที่ควรทราบในที่นี้คือ คณาจารย์ต่างๆแห่งปรัชญาแต่ละระบบนั้นมักจะต่างคนต่างแต่งภาษยะหรืออรรถกถาอธิบายสูตรขึ้นตามทรรศนะของตน
จึงมักปรากฎว่าสูตรเดียวกัน แต่มีภาษยะหลายภาษยะหลายคณาจารย์
เช่น พรหมสูตร ของ พาทรายณะ มีภาษยะที่แต่งโดยคณาจารย์ต่างๆ
เช่น ศังกราจารย์ รามานุชะ มัทวะ วัลลภะนิมพารกะ
เป็นต้น บรรดาสานุษิษย์ของคณาจารย์เหล่านี้ต่างก็ถือเอาความหมายของพรหมสูตรตามทรรศนะแห่งอาจารย์ของตน
จึงทำให้เกิดนิกายย่อยแห่งลัทธิเวทานตะขึ้นมากมาย
เมื่อกาลเวลาล่วงไป ก็มีคัมภีร์ฎีกาแต่งอธิบายภาษยะหรืออรรถกถาและอนุฎีกาซึ่งแต่งอธิบายฎีกาเกิดขึ้นอีก
นอกจากนี้ยังมีปกรณ์วิเศษซึ่งเป็นวรรณกรรมอิสระเกิดขึ้นอีก ปกรณ์วิเศษนี้ไม่จัดอยู่ในประเภทอรรถกถาฎีกาหรืออนุฎีกาโดยตรง
เป็นหนังสือที่แต่งเพิ่มขึ้นเพื่อเป็นคู่มือสนับสนุนแนวความคิดทางปรัชญาแห่งระบบนั้นๆ
พร้อมกับวิพากษ์วิจารณ์แนวความคิดทางปรัชญาของระบบอื่นๆไปด้วย
โดยประการดังกล่าวมานี้ ระบบต่างๆแห่งปรัชญาอินเดียจึงมีพัฒนาการมาเรื่อยๆ
จนกระทั่งปรากฎอยู่ในลักษณะดังที่เราได้เห็นอยู่ทุกวันนี้
ลักษณะร่วมแห่งระบบต่างๆของปรัชญาอินเดีย
ปรัชญาอินเดียแม้จะมีมากมายหลายระบบ และบรรดาระบบต่างๆเหล่านี้แม้จะมีหลักคำสอนสำคัญและหลักคำสอนปลีกย่อยแตกต่างกันอย่างไรก็ตาม
แต่กระนั้นก็ยังมีลักษณะสำคัญบางประการซึ่งเป็นลักษณะร่วมแห่งปรัชญาอินเดียทุกระบบ
ซึ่งพอจะแยกกล่าวเป็นข้อๆได้ดังนี้
1. ปรัชญาอินเดียทุกระบบถือว่า แนวความคิดทางปรัชญามีสาระอยู่ที่สามารถนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์แก่ชีวิตประจำวัน
เพื่อให้ชีวิตดำเนินไปสู่อุดมการณ์ที่ตั้งไว้อย่างดีที่สุด ปรัชญาอินเดียทุกระบบจึงเป็นปรัชญาชีวิต
2. ปรัชญาอินเดียทุกระบบเกิดขึ้นจากความรู้สึกไม่พึงพอใจต่อสภาพที่เป็นอยู่ของชีวิต
โดยเห็นว่าชีวิตของมนุษย์นั้นเต็มไปด้วยความทุกข์นานัปการ นักคิดหรือนักปรัชญาของอินเดียจึงพยายามคิดค้นแสวงหาทางที่จะทำให้ชีวิตนี้หลุดพ้นไปจากสภาพที่ทุกข์
แล้วบรรลุถึงความสุขที่ไม่เปลี่ยนแปรหรือความสุขนิรันดร ด้วยเหตุนี้ปรัชญาอินเดียทุกระบบจึงมีการเริ่มต้นที่มีลักษณะเป็นทุนนิยม
แต่ทุนนิยมในปรัชญาอินเดียนี้ไม่ใช่ทุกนิยมที่แท้จริง เพราะมีอยู่แต่ในตอนต้นเท่านั้น
จุดสุดท้ายหรือจุดหมายปลายทางปรัชญาอินเดียจบลงด้วย สุนิยม ทุกระบบ
3. ปรัชญาอินเดียทุกระบบเชื่อในกฎแห่งกรรม ทั้งในลักษณะที่เป็นกฎแห่งสากลจักรวาล
หรือกฎแห่งผล และในลักษณะที่เป็นกฎแห่งศีลธรรม ทุกระบบแห่งปรัชญาอินเดียเชื่อว่า
ทำดีย่อมได้รับผลดี ทำชั่วน่อมได้รับผลชั่ว แม้ว่าแต่ละระบบจะมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องเกี่ยวกับการกระทำอย่างใดเป็นการกระทำที่ดีหรือชั่วก็ตาม
4. ปรัชญาอินเดียทุกระบบมีทรรศนะต้องกันในข้อที่ว่า อวิชชาหรืออวิทยาเป็นสาเหตุแห่งความติดข้องและการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสาร
(สังสารวัฏ) ส่วนวิชชาหรือวิทยาเป็นสิ่งที่จะทำให้หลุดพ้นจากการติดข้องและการเวียนว่ายตายเกิดเช่นนั้น
การติดข้องอยู่ในโลกและการท่องเที่ยวไปในวัฏสงสารทำให้ต้องได้รับความทุกข์ไม่มีที่สิ้นสุด
ปรัชญาอินเดียจึงมุ่งการบรรลุโมกษะหรือความหลุดพ้นจากทุข์ทั้งปวงเป็นจุดหมายปลายทาง
อย่างไรก็ตาม เกี่ยวกับสิ่งที่เรียกว่า อวิชชา นี้ปรัชญาอินเดียไม่ได้มีความเห็นต้องกันทุกระบบ
สิ่งที่เรียกว่าวิชชาของระบบหนึ่ง อาจจะเป็นอวิชชาของอีกระบบหนึ่งก็ได้
เช่น ระหว่างปรัชญาฮินดูกับพุทธปรัชญา การเห็นหรือรู้ชัดว่ามีสิ่งเที่ยงแท้ไม่เปลี่ยนแปรที่เรียกว่า
อาตมัน เป็นวิชชาหรือวิทยา ส่วนพุทธปรัชญาถือว่าการเห็นว่ามีสิ่งที่เที่ยงเป็นอวิชชา
เป็นต้น
5. ปรัชญาอินเดียทุกระบบถือว่า การบำเพ็ญสมาธิและวิปัสสนา โดยพิจารณาสิ่งต่างๆให้เห็นตามสภาพความเป็นจริง
เป็นทางที่จะนำไปสู่ความหลุดพ้นจากความทุกข์ แต่เรื่องนี้ก็เป็นเช่นที่กล่าวแล้วในข้อ
4 คือ สภาพความเป็นจริงตามทรรศนะของระบบหนึ่งอาจแตกต่างจากสภาพความเป็นจริงตามทรรศนะของอีกระบบหนึ่ง
6. ปรัชญาอินเดียทุกระบบเห็นว่า การควบคุมตนเองหรือการควบคุมจิตใจไม่ปล่อยให้เป็นไปในอำนาจของตัณหา
เป็นทางที่ขจัดกิเลสหรือความเศร้าหมองแห่งจิตใจให้หมดไปได้ และเมื่อความเศร้าหมองแห่งจิตใจหมดไปแล้ว
ก็จะบรรลุโมกษะซึ่งเป็นความสุขนิรันดร
7. ปรัชญาอินเดียทุกระบบมีความเชื่อตรงกันว่า ความหลุดพ้นจากทุกข์ทั้งปวงหรือโมกษะนั้น
เป็นสิ่งที่เป็นไปได้และสามารถบรรลุถึงได้ด้วยการปฏิบัติอย่างเข้มงวดตามวิธีที่กำหนดไว้
แต่วิธีปฏิบัติเพื่อบรรลุความหลุดพ้นจากทุกข์นั้น แต่ละระบบก็มีวิธีการเป็นของตนเอง
นอกจากนั้นสถานะเช่นไรที่เรียกว่าเป็นสถานะแห่งความหลุดพ้น แต่ละระบบก็มีทัศนะไม่เหมือนกัน
ฉะนั้น จึงสรุปได้ว่า แม้ว่าทุกระบบมีความเห็นพ้องกันว่า โมกษะคือความหลุดพ้นที่เป็นไปได้
แต่ในเรื่องของวิธีการและธรรมชาติของความหลุดพ้นแต่ละระบบมีทัศนะไม่ตรงกัน
ลักษณะทั้ง 7 ประการดังกล่าวมานี้ เป็นลักษณะร่วมแห่งปรัชญาอินเดียทุกระบบยกเว้นปรัชญาจารวากเพียงระบบเดียว
เพราะปรัชญาจารวากเป็นปรัชญาวัตถุนิยม ซึ่งมีแนวคิดไม่ตรงกับแนวความคิดของระบบอื่นๆทั้งหมดของอินเดีย |