|| โอมฺ ศฺรีคุรุภฺโย นมะ ||
อารัมภกถา
พิธีสัตยนารายณบูชา( สตฺยนารายณ ปูชา)
เป็นพิธีสำคัญอันหนึ่งในศาสนาฮินดู เป็นพิธีที่จัดขึ้นเพื่อถวายบูชาแด่องค์พระนารายณ์
โดยมีความพิเศษอยู่ตรงที่ เรียกองค์พระนารายณ์ว่า สัตยนารายณ์
ข้อนี้น่าพิเคราะห์ เพราะคำว่า สัตยะ(สตฺย) นั้นตรงกับคำว่า
สัจจะ ซึ่งหมายถึง ความจริง การที่เราเรียกองค์พระนารายณ์ว่าทรงเป็น
ความจริง นั้นเพราะเหตุว่า ชาวฮินดูเห็นว่าสรรพสิ่งทั้งปวง
โลก ดวงดาว จักรวาลอันไพศาลรวมทั้งชีวิตของเราเองนั้น เป็นก็แต่เพียง
มายา เป็น เพียงนาฎกรรมกรีฑาอันสนุกสนานขององค์พระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น
มิได้เป็นสิ่งที่มีอยู่จริงเลย เพราะมันเกิดขึ้นมีขึ้นเพียงชั่วขณะหนึ่ง
แล้วก็สูญสลายไป
มีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นที่เป็นความจริงอันนิรันดร เที่ยงแท้ไม่แปรเปลี่ยน
คือองค์พระผู้เป็นเจ้า ซึ่งในที่นี้เราเรียกพระนามแทนพระผู้เป็นเจ้าสูงสุดนั้นว่า
พระนารายณ์ ทั้งนี้ชาวฮินดูก็เข้าใจว่านั่นเป็นเพียงการสมมุติเรียกพระนามอันหนึ่งของ
พระเจ้า(God) เท่านั้น เพราะพระเจ้าสูงสุดย่อมทรงปรากฏในทุกรูปแบบ
ทุกชื่อ ทุกหนทุกแห่งในธรรมชาติ แม้ในตัวเรา ทรงไม่อาจอธิบายให้เข้าใจจริงๆได้โดยอาศัยเพียงภาษาของมนุษย์
หรือหากกล่าวเน้นลงไปคือ พระองค์ทรงพ้นไปจากโลกสมมุติโดยสิ้นเชิง
พ้นไปจากภาษาและความคิด เราต้องอาศัยศรัทธาและปัญญาที่จะเข้าถึงพระองค์
ในพิธีสัตยนารยณ์บูชานั้นใช้เพียงสิ่งที่เรียบง่ายเช่น มะพร้าว
หมาก หม้อกลัศ หรือใช้หิน ศาลิครามศิลา เป็น ตัวแทนพระผู้เป็นเจ้าในพิธีบูชา
ศาลิครามนั้นเป็นหินสีดำชนิดหนึ่ง บางก้อนก็มีฟอสซิลของแอมโมไนท์อยู่ภายใน
พบที่แม่น้ำ คัณฑกี ใกล้เทือกเขามุกตินาถในเนปาล ถือกันว่าเป็นของศักดิ์สิทธิ์มาก
เหตุเพราะเชื่อกันว่าเป็นองค์พระนารายณ์อวตารมาในรูปของหิน ชาวฮินดูจึงปรนนิบัติศาลิครามเยี่ยงปฎิบัติต่อเทพเจ้าเลยทีเดียว
ข้าพเจ้าคิดว่านี้เป็นจิตวิญญาณของชาวฮินดูที่แท้จริง มิใช่การกระทำไปเพราะความงมงาย
แต่การที่เราจะมองเห็น พระเจ้า ใน สิ่งเล็กน้อยอย่างหินเล็กๆก้อนหนึ่งนั้น
มิใช่เรื่องง่ายดายเลย เพราะมนุษย์ผู้อหังการจะยอมสละความยึดมั่นในอัตตาของตัวเอง
ก้มลงศิโรราบกราบกรานหินเล็กๆได้ด้วยความจริงใจนั้นยากยิ่ง ความอ่อนน้อมต่อธรรมชาติในฐานะภาคส่วนแห่งพระผู้เป็นเจ้านั้นคือจิตวิญญาณ
ของชาวฮินดูที่แท้จริง
ในพิธีสัตยนารายณ์บูชา นอกจากการกระทำบูชาตามประเพณีแล้วนั้น
ก็มีส่วนสำคัญอันหนึ่งคือการแสดงธรรมโดยพราหมณาจารย์ผู้ประกอบพิธี
ซึ่งยกเป็นนิทานปรัมปราเล่าเรื่องที่เกี่ยวกับอานิสงค์หรือที่มาของพิธี
นั้นๆ เรียกว่า กถา เพื่อฉลองศรัทธาสาธุชน ให้มีความยินดีในกุศล
เมื่อแรกที่ข้าพเจ้าได้มีโอกาสร่วมพิธีสัตยนารายณ์บูชา ในเทศกาลมกรสังกรานติ
ปูรณิมา ณ วัดเทพมณเฑียร สมาคมฮินดูสมาช ก็ได้ฟัง สัตยนารายณ์กถา
อาศัยว่ามีฉบับภาษาอังกฤษอยู่ในมือ จึงพอจะตามเรื่องที่ท่านอาจารย์
ปัณฑิต ศรีลลิต โมหัน วยาสผู้เทศนา แสดงเป็นภาษาฮินดีไปได้บ้าง
ข้าพเจ้าได้ถวายฉบับภาษาอังกฤษไปให้ท่านสำเนาหนึ่งเพื่อท่านจะได้สอนแก่ชาว
อินเดียที่ไม่ได้ใช้ภาษาฮินดี และยังแจ้งต่อท่านว่าจะแปลเป็นภาษาไทย
เพื่อให้ชาวไทยได้มีโอกาสเข้าใจความหมาย ได้มีโอกาสซาบซึ้งกับอรรถและธรรม
เพื่อจะได้เจริญปัญญา ท่านได้อนุโมทนาและอำนวยพรในดำริของข้าพเจ้า
ข้าพเจ้าเลือกเอา สัตยนารายณ์กถา ฉบับภาษาอังกฤษที่แปลโดย ศฺรี
อโศก พาสเคการ ซึ่งเผยแพร่อยู่ในเวปไซต์ http://sanskrit .gde.to
ซึ่ง เป็นเวปไซต์ที่รวบรวมเอาโศลก บทสวดมนตร์ งานชิ้นสำคัญต่างๆในภาษาสันสกฤตและศาสนาฮินดูไว้มากที่สุดแห่งหนึ่งบนโลกไซ
เบอร์ โดยเผยแพร่เป็นวิทยาทานมานาน นับว่าน่าอนุโมทนายิ่งนัก
ข้าพเจ้าก็ได้อาศัยเวปไซต์นี้เองเป็นแหล่งค้นคว้าหาความรู้ จึงขอแสดงความขอบคุณไว้
ณ ที่นี้ด้วย
เหตุที่ข้าพเจ้าเลือกเอาสัตยนารายณ์ กถาฉบับนี้ เพราะศรีอโศก
ได้สอดแทรก เนื้อหาเชิงสังคมเอาไว้ตลอดเรื่อง ทั้งยังปรับปรุงให้มีเนื้อหาร่วมสมัย
ไม่โลดโผนพิสดาร จึงน่าที่จะเป็นที่รับฟังของคนรุ่นใหม่ได้ง่าย
ข้าพเจ้าได้ปรับปรุงแก้ไขเนื้อหาบ้างเล็กน้อย เพื่อง่ายแก่การอ่าน
ความผิดพลาดใดๆที่ปรากฏในหนังสือนี้จึงเป็นของข้าพเจ้าเพียงผู้เดียว
ข้าพเจ้าได้เพิ่มส่วนที่เป็น ศฺรีสตฺยนารายณาษฺโฏตฺตรศต นามาวลีะ
หรือบทสวดพระนามทั้ง 108 ขององค์สัตยนารายณ์ โศลกชื่อชาคฤหิ
(จงตื่นเถิด!) และปรา ปูชา(การบูชาอันสูงสุด)ซึ่งเป็นข้อเตือนใจและบทเพลงอารตี
ชคทีศฺวรจี ภาษาฮินดี(ซึ่งยังไม่มีเวลาที่จะแปล หวังใจว่าจะได้แปลในโอกาสต่อๆไป)
ไว้ในส่วนท้ายของเล่ม โดยเลือกถอดจากอักษรเทวนาครีเป็นภาษาไทย
ตามหลักการถอดอักษรที่ถูกต้อง เพื่อเป็นการรักษาต้นฉบับ แม้ว่าจะค่อนข้างยากสำหรับการอ่านของคนทั่วๆไป
แต่การถอดอย่างถูกต้องตามหลักการนั้น ก็ให้ประโยชน์หลายสถาน
คือ
1. ย่อมทำให้สามารถพอจะเดาความหมายของศัพท์ต่างๆได้บ้าง เช่น
หากถอดว่า เทวา ก็พอเดาได้ว่าแปลว่า เทพ แต่ถ้าถอดว่า เดวา
(ตามการออกเสียง) อาจทำให้ไม่ทราบว่าจริงๆแล้วเป็นคำว่าอะไร
หรือหากถอดว่า ดุะข ก็จะไม่ทราบว่าเป็น ทุข หรือทุกข์นั้นเอง
2. การออกเสียงในภาษาอินเดียนั้นต่างจากไทยแม้ว่าจะใช้พยัญชนะตรงกันและมีศัพท์เหมือนๆกัน
เช่น เราออกเสียงอักษรอูษมัน คือ ส ศ ษ ไม่ ต่างกัน แต่ชาวอินเดียออกเสียงต่างกันทั้งสามตัว
ซึ่งต้องอาศัยการเรียนรู้ ผู้สนใจจริงๆ ที่อยากจะออกเสียงมนตร์ให้ตรงกับภาษาเดิม
(ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญ เพราะชาวอินเดีย ถือว่าเสียงมนตร์ที่ออกอย่างถูกต้อง
มีผลต่อร่างกายและจิตใจ) จึงต้องเพียรพยายามฝึกฝน ไปสอบถามจากผู้รู้
หรือต้องหมั่นไปวัดฮินดู ซึ่งนอกจากจะเป็นการเพิ่มพูนความรู้แก่ตัวแล้ว
ก็จะได้กุศลอีกทางหนึ่ง ผู้ที่สนใจจริงๆ การหาความรู้เช่นนี้คงมิใช่เรื่องเกินกำลังกระมัง
เนื้อหาของสัตยนารายณ์ ข้าพเจ้าคิดว่าฉบับดั้งเดิมเก่าแก่คงเป็นเรื่องอิทธิปาฎิหารย์ตามแบบนิทานใน
คัมภีร์ปุราณะ แต่สำหรับข้าพเจ้าแล้ว ปาฎิหารย์มิใช่เรื่องสำคัญ
จุดที่ข้าพเจ้าอยากให้ผู้อ่านใคร่ครวญคือ สิ่งที่ผู้เขียนได้สอดแทรกไว้ในเรื่อง
ไม่ว่าจะเป็นการดูแลรับใช้สามีภรรยาลูกหลาน การช่วยเหลือผู้อื่นและผู้ยากไร้ด้วยจิตใจดั่งการถวายต่อพระเป็นเจ้า
การมีความภักดีและความจริงใจ เพราะทั้งหมดนี้คือความหมายแท้จริงอันหนึ่งของการ
บูชา ซึ่งมิใช่เพียงพิธีกรรมตามประเพณีเท่านั้น ความรักในหัวใจเราคือเครื่องบูชาอันสูงสุด
ซึ่งถวายผ่าน พระเจ้าใน ตัวผู้อื่นและในสรรพสิ่งแห่งธรรมชาติ
ความรักซึ่งหอมหวนยิ่งกว่าดอกไม้และหวานกว่าน้ำผึ้งป่าอันมิอาจซื้อหาได้
ด้วยเงินทอง และความพยายามที่จะประจักษ์แจ้งความจริงสูงสุดโดยมิย่อท้อ
คือสิ่งที่ผู้เขียนเสนออย่างน่าพินิจใคร่ครวญ
ท้ายนี้ ข้าพเจ้าอยากแก้ความเข้าใจผิดบางประการที่มีต่อชาวฮินดู
ชาวฮินดูนั้นมิได้งอมืองอเท้าเฝ้าอ้อนวอนร้องขอแต่พระเมตตาของพระเจ้า
แต่ชาวฮินดูเชื่อเรื่อง กรรม พระเป็นเจ้า เป็นแต่ผู้อำนวยให้กฎของกรรมดำเนินไปอย่างถูกต้อง
การไม่ทำความดี แม้ผู้นั้นจะร้องขอปานใดก็มิอาจให้ผลดีได้ การบูชาที่ดีควรเป็นไปเพื่อการเคารพสักการะด้วยศรัทธาบริสุทธิ์
เราบูชาเพราะเรามีใจอยากบูชา เพราะเรามีความเคารพรักในพระเป็นเจ้า
มิใช่กระทำในเชิงติดสินบนหรือเพื่อขอสิ่งใดๆ ข้าพเจ้าคิดว่าท่านทั้งหลายไม่ควรร้องขอผลประโยชน์ทางวัตถุใดๆจากพระเป็นเจ้า
(บางคนร้องขอผลประโยชน์ทางอบายมุขจากพระเป็นเจ้าเช่น หวย เบอร์เสียด้วยซ้ำ
ซึ่งมิใช่สิ่งควรกระทำเลย) สิ่งที่เราอาจพอจะขอพระเมตตาต่อพระองค์ได้เช่น
ความสันติสุขในจิตใจ กำลังใจ ส่วนสิ่งอื่นๆ พระองค์ย่อมจัดสรรให้เหมาะสมแก่เราเอง
และการแสวงหาผลประโยชน์จากพระเป็นเจ้านั้นเป็นบาปหนักไม่ว่าจะในรูปแบบใดๆก็
ตาม เช่น การเข้าทรง (ซึ่งเป็นไปโดยอำนาจกิเลส เช่นความจงใจหลอกลวง
หรือจิตใจอันผิดปกติ เจ็บป่วยของตนเอง) หรือในรูปแบบอื่นๆ นอกจากนี้ยังเป็นการหลอกลวงเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเอง
ขอเน้นย้ำว่า การทรงเจ้าเข้าผีไม่มีในคำสอนของศาสนาฮินดู และเราย่อมเข้าถึงพระเป็นเจ้าได้ด้วยความศรัทธาของตัวเราเอง
โดยไม่ต้องพึ่งคนทรงเจ้าหรือผู้วิเศษคนใด
ความดีใดๆอันพึงมีในหนังสือนี้ ข้าพเจ้าขอถวายเป็นเทวปูชาแด่เทพเจ้าทุกพระองค์
เป็นมาตาปิตรปูชา และเป็นคุรุปูชาแด่ ท่านปัณฑิต อาจารย์ ศรีลลิต
โมหัน วยาส ผู้ทรงคุณอันประเสริฐ และแด่ท่านอาจารย์ ประมวล เพ็งจันทร์
ขอพระเป็นเจ้าประทานพรแด่ท่านที่ได้อ่าน ให้มีความสุขศานติ และได้พบกับสัจจธรรมอันสูงสุดด้วยเทอญ
โอม ศานติ
ศรีหริทาส
โอมฺ ศฺรีคเณศาย นมะ ||
|| ศฺรีสตฺยนารายณ กถา ปรารมฺภ ||
|| ปหิลา อธฺยาย || ศรีสัตยนารายณ์ กถา อัธยายที่1 (บทที่ 1)
บัดนี้
ข้าพเจ้าจักได้สาธยายเรื่องราวและความหมายที่อยู่เบื้องหลังพิธีสัตย
นารายณ์บูชา ซึ่งเราทั้งหลายได้กระทำไปแล้ว ในรูปแบบที่ง่ายต่อการทำความเข้าใจ
โดยตามประเพณีแล้วนั้น เรื่องราวเกี่ยวกับสัตยนารายณ์บูชาจะถูกเล่าในเชิงนิทาน
ซึ่งเป็นเรื่องอันเกิดในอดีตอันไกลโพ้น โดยในกาลครั้งนั้นผู้คนยังสามารถประสบกับปาฏิหาริย์ต่างๆได้
ผิดกับสมัยปัจจุบันที่ผู้คนไม่จำเป็นต้องเชื่อปาฏิหาริย์เช่นนั้นแล้ว
คนในยุคเรานี้ล้วนเชื่อในปาฏิหาริย์สมัยใหม่เช่น ซิลิคอนชิปในคอมพิวเตอร์ที่สามารถทำหน้าที่ต่างๆได้อย่างมากมาย
แต่ไม่อาจทำใจให้เชื่อในปาฏิหาริย์อันถูกเล่าตามประเพณีมานับแต่อดีตจากรุ่น
สู่รุ่นได้ ดังนั้นข้าพเจ้าจะพยายามเล่าเรื่องสัตยนารายณ์โดย
ให้คนรุ่นใหม่สามารถเข้าใจและเข้าถึงได้(โดยเรื่องราวที่จะเล่านี้เก็บความ
จากคัมภีร์ปุราณะ) กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในป่าแห่งหนึ่งนามว่า
ไนมิษฺ ซึ่งเป็นที่พำนักของท่านฤาษีเศานักและบรรดาฤาษีทั้งหลาย
ฤาษีเหล่านั้นพากันถามผู้เล่านิทาน(สูตะ)ว่า ทำอย่างไรที่บุคคลจะได้รับความสันติแห่งจิตใจ
สุขภาพที่ดี ทรัพย์สมบัติและความสุข สูตะกล่าวตอบว่า คำถามเช่นนี้ก็ได้บังเกิดขึ้นในจิตของท่านพรหมฤาษีนารทมุนีเช่นกัน
ขณะเมื่อท่านนารทรู้สึกขัดข้องว้าวุ้นใจและปราศจากความสุข เมื่อได้พบเห็นความทุกข์ของสรรพชีวิตทั้งหลายในจักรวาล
ด้วยเหตุนั้น ท่านนารถมุนี จึ่งได้นั่งสมาธิดำดิ่งลงในความสงบอันลึกซึ้ง
เพื่อค้นหาตัวตนอันแท้จริง และท่านได้ประจักษ์ถึง โอมฺ พยางค์ลึกลับอันศักดิ์สิทธิ์
ซึ่งก็คือ อาตมัน อัน เป็นตัวตนที่แท้จริงของเรา เป็นจุดเริ่มต้นแห่งสรรพสิ่งทั้งปวง
คือสำนึกรู้แห่งการดำรงอยู่ของเรา และด้วยการประจักษ์เช่นนั้นเอง
ได้ทำให้ท่านรู้ว่า เมื่อไหร่และที่ไหนที่สิ่งนั้นเกิดขึ้นมา
และเมื่อใดคือจุดสิ้นสุดของมัน ภายใต้ดวงตาอันปิดสนิทนั้นเอง
ท่านนารทมุนี ได้คิดคำนึงถึงสิ่งที่งดงามที่สุด หล่อเหลาที่สุด
รูปลักษณ์ที่ทรงพลังที่สุดเท่าที่จะเกิดขึ้นได้ภายใต้ห้วงอวกาศอันไม่มีที่
สุดนี้ ซึ่งประกอบไปด้วยดวงดาวจำนวนนับอนันต์ซึ่งอยู่ภายใต้กาแลคซี่จำนวนนับอนันต์
เช่นกัน กาแลคซี่ทางช้างเผือก ระบบสุริยจักรวาล พระอาทิตย์ และพระจันทร์
สิ่งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิตในจักรวาล ทวีป ประเทศ บ้านเมืองนี้
และผู้คนทั้งหลายที่อยู่รอบๆตัว ท่านรำพึงว่า ใครกันหนอที่ เป็นผู้สร้างสรรพสิ่งเหล่านี้
ท่านผู้นั้นอยู่ที่ใด ท่านผู้นั้นเป็นอย่างไร ในที่สุดท่านนารทก็พบว่า
ผู้สรรค์สร้างจักรวาลนี้มิใช่ใครอื่น แต่เป็นองค์พระวิษณุนารายณ์ผู้ทรงฤทธานุภาพ
ซึ่งมีพระเนตร พระเศียร พระกร และพระบาทอย่างละพัน(ลักษณะของพระเป็นเจ้าที่กล่าวมานี้
ปรากฏใน ปุรุษะสูกตะ ซึ่งว่าด้วยการสร้างโลก ในคัมภีร์ฤคเวท
ผู้ แปล) องค์พระเป็นเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพนี้ ทรงอยู่ภายในทุกสรรพสิ่งในจักรวาลแต่ขณะเดียวกันพระองค์ก็อยู่เหนือสรรพสิ่ง
เหล่านั้นด้วย พระเป็นเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพนั้นง่ายดายที่จะเข้าถึงในขณะเดียวกันก็ยากที่จะ
รับรู้ถึงพระองค์ พระองค์ทรงสถานุ(มั่นคงไม่เคลื่อนไหว) แต่ขณะเดียวกันก็ทรงเคลื่อนไหวรวดเร็วกว่าความคิด
พระองค์เล็กกว่าอะตอมที่เล็กที่สุดเท่าที่เราจะจินตนาการได้
ขณะเดียวกันก็ทรงใหญ่ยิ่งกว่าท้องฟ้า พระองค์ทรงสถิตในดวงใจของผู้เที่ยงธรรม
ผู้ซึ่งเอาใจใส่ต่อสรรพชีวิตที่น่าสงสารและทุกข์ทนเฉกเช่นเดียวกับเอาใจใส่
ต่อญาติมิตรของเขาเอง ทรงสถิตกับบุคคลผู้ที่เสียสละเพื่อความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของสังคม
ผู้ซึ่งคิดถึงความสุข ความปิติยินดี และเจตน์จำนงที่ดีของสังคมเสมอ
และพระองค์ทรงสถิตในผู้เลี้ยงดูคนที่หิวโหยทั้งหลาย พระองค์ยังสถิตกับคนชอบธรรม
คือผู้ทำงานหนักเพื่อขจัดเสียซึ่งความมืดมิดแห่งอวิชชาและจุดไฟแสงสว่างแห่ง
ปัญญาแก่ผู้คน ด้วยการประจักษ์แจ้งถึงองค์พระเป็นเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพนี้เอง
ท่านนารทมุนีก็เป็นสุข ความว้าวุ้นขัดข้องทั้งปวงในจิตใจของท่านก็ปลาสนาการไป
จิตของท่านสงบสันติเป็นอย่างยิ่ง และนั่นก็ส่งผลให้สุขภาพของท่านดีขึ้น
เมื่อร่างกายดีก็ไม่ยากที่บุคคลจะแสวงหาและได้มาซึ่งทรัพย์สมบัติ
ดังนั้นสุขภาพที่ดี ทรัพย์สมบัติ ความมีใจกว้างขวาง ความสันติสุขแห่งจิตใจ
ก็จะเกิดขึ้นเองโดยอัตโนมัติ เมื่อบุคคลได้ประจักษ์ถึงความจริงแท้ของพระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพ
คือ องค์สัตยนารายณ์นั่นเอง
จบอัธยายที่ 1 แห่ง ศรีสัตยนารายณ์ กถา ด้วยประการฉะนี้
โอมฺ ศฺรีสตฺยนารายณาย นมะ || โอมฺ นโม ภควเต วาสุเทวาย
||
|| ศฺรีสตฺยนารายณ กถา ||
|| ทุสรา อธฺยาย || ศรีสัตยนารายณ์ กถา อัธยายที่2 (บทที่ 2)
วันหนึ่ง ท่านพรหมฤาษีนารทได้พบกับพราหมณ์ยากจน ในนครกาศี(พาราณสี)อันงดงาม
พราหมณ์ยากจนผู้นั้นหิวโหย ทั้งยังเศร้าหมองเพราะความสังเวชในสภาพของตนเอง
เมื่อท่าน นารทมุนี ได้เห็นพราหมณ์ผู้นั้นแล้ว ท่านได้เข้าไปใกล้แล้วถามขึ้นว่าเหตุใดเขาจึงดูเศร้าหมองนัก
พราหมณ์ตอบว่า โอ ข้าแต่ท่านพรหมฤาษี ทำอย่างไรเล่าข้าพเจ้าจะสามารถขจัดเสียซึ่งความยากจนและความทุกข์ประดามีที่
ข้าพเจ้าประสบอยู่ ข้าพเจ้าว้าวุ้นสับสนจนไม่อาจนอนหลับลงได้ในยามราตรี
ได้โปรดบอกข้าพเจ้าหน่อยเถอะ ว่าทำไฉนข้าพเจ้าจะขจัดเสียซึ่งความเศร้าหมองที่ข้าพเจ้ามีในบัดนี้
ท่านนารทมุนีตอบว่า นี่ แน่ะ มิตรรัก ในเบื้องต้นท่านจงพยายามทำความเข้าใจว่า
จริงๆแล้วท่านคือใคร จงพยายามทำความเข้าใจถึงรูปลักษณ์และธรรมชาติอันแท้จริงของ
สัจธรรมสูงสุด จงพินิจพิจารณาเถิดว่าพิธีสัตยนารายณ์บูชานั้นกระทำอย่างไร
ด้วยการประจักษ์แจ้งความจริงของตน ท่านก็จะบรรลุสิ่งทั้งปวงที่ท่านต้องการ
พราหมณ์ ผู้นั้นจึ่งกลับไปบ้าน ในไม่กี่วันต่อมาเขาได้พินิจพิเคราะห์ว่าพิธีสัตยนารายณ์นั้นกระทำอย่างไร
เขาได้สังเกตความเรียบง่ายของพิธีในการใช้ หมาก มะพร้าวและหม้อน้ำกลศ
ที่ถูกใช้เพื่อทำความเข้าใจธรรมชาติอันแท้จริงของสิ่งสูงสุด
เขาเองก็ได้เริ่มวิธีการเช่นเดียวกันนี้เพื่อจะทำความเข้าใจองค์สิ่งสูงสุด
เขาดูแลช่วยเหลือภรรยา ดั่งถวายบริการแด่องค์พระลักษมี เขามอบความรักแด่บุตรชายของตนดั่งถวายความรักต่อองค์พาลกฤษณะ(พระกฤษณะในวัย
เด็ก) และเขามอบความรู้แด่บุตรสาวดั่งถวายต่อองค์พระสรัสวตี
ทัศนะที่มีต่อชีวิตของเขาได้เปลี่ยนไปแล้ว เขาเริ่มมองเห็นสิ่งต่างๆว่าเป็นส่วนหนึ่งหรือเศษเสี้ยวหนึ่งขององค์พระผู้
เป็นเจ้าสูงสุด ทั้งหมดนี้ได้ทำให้เกิดสันติสุขขึ้นในหัวใจของเขา
ความว้าวุ้นสับสนได้มลายไป เขากลายเป็นผู้ที่มีความสุข เมื่อใดที่จิตเป็นสุขร่างกายก็จะตอบสนองในแง่ดีด้วย
ดังนั้นสุขภาพของเขาก็ดีขึ้น เขาสามารถที่จะทำงานหนักได้ และด้วยการเปลี่ยนแปลงทั้งการทำงานหนักและธรรมชาติของตัวเขาเอง
พราหมณ์ผู้นั้นกลายเป็นบุคคลอันเป็นที่ต้องการของสังคม สถานภาพทางสังคมของเขาก็ดีขึ้น
ความซื่อสัตย์จริงใจและความรักภักดีต่อพระผู้เป็นเจ้า โดยปราศจากความปรารถนาผลทางวัตถุใดๆ
ก็ทำให้เขาได้รับสิ่งทั้งปวงอันเหมาะสมที่เขาจะพึงได้รับ วันหนึ่ง
ขณะที่พราหมณ์ผู้นั้นกำลังประกอบพิธีสัตยนารายณ์บูชาอยู่นั้น
เขาก็สังเกตเห็น ชายขายฟืนยากจนและหิวโหยซึ่งเทินมัดกองฟืนไว้บนศรีษะ
ยืนอยู่ที่ประตูบ้านของเขา ชายขายฟืนเอ่ยถามว่าพราหมณ์กำลังทำสิ่งใด
พราหมณ์จึงเชื้อเชิญชายขายฟืนเข้ามาในบ้านและชวนให้เขาพินิจดูว่าเขากำลังทำ
อะไรอยู่ และกล่าวบอกชายขายฟืนว่าทำอย่างไรที่บุคคลจะได้รับสิ่งที่พึงใจอย่างเต็มที่
จากการพยายามทำความเข้าใจธรรมชาติอันแท้จริงของพระผู้เป็นเจ้าคือองค์สัตย
นารายณ์ โดยการสังเกตพิธีสัตยนารายณบูชานั่นเอง ชายขายฟืนได้กลายเป็นผู้ที่มีความสุขอย่างยิ่ง
เขาได้เจริญรอยตามพราหมณ์ผู้นั้น
ด้วยการเปลี่ยนแปลงคุณลักษณะของจิตใจในทางที่ดีขึ้น
ซึ่งส่งผลต่อสุขภาพกาย พละ
กำลัง และการทำงาน
การเปลี่ยนแปลงอันน่าอัศจรรย์ใจนี้นำมาสู่การทำงานที่หนัก
ขึ้นอันจะนำไปสู่ทรัพย์สิน บุตรที่ดีและครอบครัวที่เป็นสุข
จบอัธยายที่ 2 แห่ง ศรีสัตยนารายณ์ กถา ด้วยประการฉะนี้
โอมฺ ศฺรีสตฺยนารายณาย นมะ || โอมฺ นโม ภควเต วาสุเทวาย
||
|