เมื่อคราวนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นเดินทางมาเยือนไทย เมื่อต้นปีที่ผ่านมา
เพื่อหาเสียงสนับสนุนในการเป็นตัวแทนเอเชียสำหรับการประชุมจีแปด
ซึ่งจะจัดขึ้นที่ญี่ปุ่นปีนี ้ มีกลยุทธ์ทางวัฒนธรรมที่น่าประทับใจ
และทำให้คนไทยรู้สึกสนิทใจสองอย่าง คือ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นไปร่วมอวยพรคู่บ่าวสาวในโรงแรมที่เข้าพัก
โดยไม่ได้รับเชิญ และกล่าวว่าเจ้าบ่าวคงทำบุญร่วมชาติกับตนมาเมื่อชาติก่อน
อีกเหตุการณ์หนึ่งคือไปตอบข้อซักถาม ของนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์อย่างเป็นกันเอง
ทั้งสองเหตุการณ์ต้องอาศัยการวางแผนโดยผู้ซึ่งเข้าใจ และรู้จักวัฒนธรรมไทยเป็นอย่างดี
กลยุทธ์ทางการทูตโดยใช้วัฒนธรรมเป็นเครื่องมือ เสมือนขนมหวานสำหรับประเทศไทยตลอดมา
ผลลัพธ์ของการรับประทานโดยไม่รู้เท่าทันก็เป็นดังเช่นอาจารย์นิธิ
เอียวศรีวงศ์ เปรียบเปรยไว้ว่า
"ประเทศเล็ก ๆ ที่ไม่มีปัญญาเป็นนักเลงโต และไม่รู้จักคุณค่าของวัฒนธรรมในทางการทูต
จึงเป็นเพียงเบี้ยให้คนอื่นเขาจับเดิน" เท่านั้น (นิธิ
เอียวศรีวงศ์. วัฒนธรรมและนักเลงโต. มติชนสุดสัปดาห์, ๒๕ มกราคม
๒๕๔๓)
----------------------------------------
การเสียปราสาทพระวิหารแก่กัมพูชาเมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๕ เป็นเหตุการณ์ที่แสดงถึงการขาดความรู้เรื่องคุณค่า
ของวัฒนธรรมในทางการทูตครั้งสำคัญที่สุดเช่นเดียวกัน
เมื่อฝรั่งเศสได้จุดชนวนปัญหาเรื่องเขาพระวิหารใน พ.ศ. ๒๔๙๒
ก่อนกัมพูชาได้รับเอกราชหนึ่งปี โดยประท้วงที่รัฐบาลไทยเข้าครอบครองปราสาทพระวิหาร
ต่อมารัฐบาลโดยการนำของเจ้าสีหนุยื่นฟ้องต่อศาลโลก ทำให้ประเทศไทยต้องสูญเสียปราสาทพระวิหารในที่สุด
ด้วยเหตุผลที่ว่า ไม่ได้ประท้วงแผนที่ ซึ่งฝรั่งเศสทำขึ้นตามสนธิสัญญา
พ.ศ. ๒๔๔๗ และ พ.ศ. ๒๔๕๐ ทั้ง ๆ ที่อยู่ภายในเขตสันปันน้ำฝั่งไทยซึ่งถือว่าเป็นหลักการแบ่งเขตแดนสากล
กรณีปราสาทพระวิหารนี้ มีแต่นักเดินทางและนักวิชาการชาวฝรั่งเศสเท่านั้น
ที่ถือว่าเป็นของกัมพูชาอันเป็นอาณานิคมของพวกตน ความรู้ทางวัฒนธรรมของฝรั่งเศส
ที่มีต่ออาณานิคมของตนอย่างลึกซึ้ง และความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของรัฐบาลไทยในอดีต
คือคำตอบสำหรับการสูญเสียปราสาทพระวิหารให้แก่กัมพูชา ทั้งที่ความเป็นจริงจะตั้งอยู่ในดินแดนประเทศไทยก็ตาม
จักรวรรดินิยมอย่างฝรั่งเศส พยายามเข้าใจบ้านเมืองที่ตนต้องการเข้าไปครอบงำ
และปกครองทั้งทางสังคมและวัฒนธรรม ซึ่งสำคัญกว่าการใช้เพียงกำลังทหารและอาวุธเท่านั้น
จึงมีการจัดตั้งสถาบันทางวิชาการอย่างเป็นทางการ โดยดำเนินการอย่างต่อเนื่อง
ศึกษาทั้งเรื่องประวัติศาสตร์ โบราณคดี และชาติพันธุ์วรรณา ส่งนักวิชาการสาขาต่าง
ๆ เข้ามาศึกษาค้นคว้า พิมพ์ผลงานอย่างเป็นระบบ และจัดตั้ง "สถาบันฝรั่งเศสแห่งปลายบูรพาทิศ"
(BEFEO) ซึ่งยังคงอยู่มาจนถึงปัจจุบัน
บุคคลที่มีบทบาทในการศึกษา สำรวจ ถ่ายภาพ สเกตช์ ทำแผนผัง ปราสาทหินในเขมร
ลาว และไทย ดังเช่น นายเอเตียน แอมมอนิเยร์ พันเอก เอเตียน เอ็ดมองค์
ลูเนต์ เดอลาจองกิแยร์ รวมถึงศาสตราจารย์ ยอร์ช เซเดส์ ผู้เชี่ยวชาญด้านจารึก
ที่สามารถลำดับกษัตริย์ขอมสมัยก่อน และหลังเมืองพระนครได้น่าเชื่อถือกว่าผู้อื่น
จนเป็นผู้เชี่ยวชาญ และมีอิทธิพลอย่างยิ่งในการศึกษาประวัติศาสตร์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในเวลา
ต่อมา
ด้วยการให้ความสำคัญและความเข้าใจทางประวัติศาสตร์โบราณคดี
สังคมวัฒนธรรมดังกล่าวนี่เอง เมื่อเกิดกรณีพิพาทเรื่องปราสาทพระวิหาร
กัมพูชาจึงใช้ข้อมูลเหล่านี้จากนักวิชาการฝรั่งเศส สร้างความได้เปรียบให้แก่ตน
ในขณะที่ฝ่ายไทยมองไม่เห็นความเชื่อมโยง ระหว่างการศึกษาทางสังคมวัฒนธรรม
กับการใช้เพื่อการเมืองและการทูตนัก
แนวทางของนักวิชาการจากสถาบันฝรั่งเศสแห่งปลายบูรพาทิศ ส่งผลกระทบอย่างมากต่อการศึกษาด้านโบราณคดี
และประวัติศาสตร์มาจนถึงปัจจุบัน เพราะนักวิชาการไทยยุคแรก ๆ
ได้บุกเบิกการเรียนการสอน โดยเฉพาะในวิชาประวัติศาสตร์ศิลปะ
ในแนวทางเดียวกับที่นักวิชการจากสำนักนี้ได้เริ่มต้นไว้อย่างมั่นคง
และถ่ายทอดสู่นักศึกษารุ่นต่อมาอย่างต่อเนื่อง นับเป็นแนวทางหลักของการเรียนการสอน
และการทำงานทางด้านประวัติศาสตร์ศิลปะ และโบราณคดีในประเทศไทย
แต่ดูเหมือนเราจะได้เทคนิค และวิธีการศึกษามามากว่าจะทำความเข้าใจความสัมพันธ์
ระหว่างเรื่องราวทางประวัติศาสตร์สังคม กับการดำรงอยู่ของกลุ่มชาติพันธุ์ในท้องถิ่นต่าง
ๆ ซึ่งเป็นเรื่องจำเป็นที่สุดในการเข้าใจวัฒนธรรมอย่างถึงแก่น
ไม่ติดเพียงเปลือกนอกผลงานการศึกษาและบูรณะปราสาทหินต่าง ๆ ในประเทศไทยเป็นพยานถึงอิทธิพลดังกล่าวได้ดี
เพราะข้อมูลที่ได้จากปราสาทหินแต่ละแห่ง จะเกี่ยวข้องกับการศึกษาจารึก
รูปแบบและวิวัฒนาการของศิลปกรรม ที่มีการกำหนดอายุอย่างแน่นอนของกษัตริย์สมัยก่อน
และหลังเมืองพระนคร การศึกษาลวดลายแกะสลักเรื่องราวจากมหากาพย์รามายณะ
มหาภารตะ ตลอดจนเทพในนิกายความเชื่อต่าง ๆ ที่ปรากฏอยู่ตามทับหลัง
หน้าบัน ประติมากรรมรูปเคารพ หรือการทำความเข้าใจความหมายเชิงปรัชญา
ขององค์ประกอบทางสถาปัตยกรรมต่าง ๆ
กล่าวได้ว่า เป็นข้อมูลที่มีมากที่สุด โดยไม่ให้ความสำคัญแก่ผู้คนที่เคยเป็นเจ้าของดินแดนแห่งปราสาทหินเหล่านั้น
สิ่ง ที่เราให้ความสำคัญต่อปราสาทหิน ในแอ่งอารยธรรมอีสานของเราอย่างมากที่สุดก็คือ
การสร้าง "อุทยานประวัติศาสตร์" ซึ่งเน้นความสวยงามของภูมิทัศน์รอบ
ๆ ตัวปราสาท นับเป็นการหาประโยชน์เฉพาะหน้าเพื่อการท่องเที่ยวอย่างชัดเจน
ปราสาทหินทุกแห่งควรได้รับการพิจารณาในมุมกว้าง ไม่เน้นแต่เฉพาะการเป็นโบราณสถานแต่เพียงอย่างเดียว
----------------------------------------
แอ่งอารยธรรมอีสาน
บริเวณที่ราบสูงภาคอีสานของไทย ได้ชื่อว่าเป็นแอ่งอารยธรรมมาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์
ลักษณะทางภูมิศาสตร์แบ่งเป็นสองเขต คือ แอ่งสกลนครทางตอนบน และแอ่งโคราชทางตอนล่าง
โดยมีเทือกเขาภูพานคั่นกลาง ความแตกต่างทางภูมิศาสตร์ และทรัพยากรทำให้ผู้คนทั้งสองแห่ง
มีรายละเอียดทางวัฒนธรรมต่างกันไปด้วย ดังปรากฏจากรูปแบบของภาชนะดินเผาในประเพณีการฝังศพ
ตลอดจนลักษณะทางศิลปกรรมภายหลังปรับรับระบบความเชื่อจากภายนอกแล้ว
เมื่ออิทธิพลทางพุทธศาสนา แพร่จากอินเดียเข้าสู่ลุ่มน้ำเจ้าพระยา
ทำให้ชุมชนดั้งเดิมในภูมิภาคนี้ เปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรมไปอย่างเห็นได้ชัด
พัฒนาเป็นบ้านเมืองและรัฐ เนื่องในวัฒนธรรมทวารวดี อันมีช่วงเวลาอยู่ในราวพุทธศตวรรษที่
๑๒-๑๖ วัฒนธรรมทวารวดีในภาคกลาง ได้แพร่ข้ามเขตภูมิศาสตร์สู่ดินแดนในแอ่งโคราช
และแอ่งสกลนคร ผสมผสานกับวัฒนธรรมดั้งเดิม จนกลายเป็นวัฒนธรรมทวารวดีแบบท้องถิ่น
ในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน อิทธิพลทางศาสนาจากอินเดีย ได้แพร่เข้าสู่ชุมชนบริเวณสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขงด้วย
เกิดลักษณะทางศิลปกรรมทางพุทธศาสนาแบบฟูนัน และฮินดูแบบเจนละอันเป็นต้นเค้าของศิลปกรรมขอม
บริเวณเหนือทะเลสาบเขมร
ดังนั้น ในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๒-๑๓ ลงมา ผู้คนในแถบอีสานจึงมีระบบความเชื่อ
ทั้งที่เป็นการนับถือผี ซึ่งเป็นวัฒนธรรมในชุมชนดั้งเดิม การนับถือพุทธศาสนา
และศาสนาฮินดูควบคู่กันไป
วัฒนธรรมขอมจากกัมพูชาส่งผลกระทบทางสังคม และการเมืองต่อชุมชนในเขตอีสาน
โดยเฉพาะในแอ่งโคราชช่วงพุทธศตวรรษที่ ๑๖-๑๙ เป็นอย่างมาก สะท้อนให้เห็นจากศาสนสถานต่าง
ๆ ที่สร้างขึ้นในคติความเชื่อทางศาสนาฮินดูและพุทธมหายาน ประติมากรรมรูปเคารพ
ตลอดจนข้อความจารึก ลักษณะการวางผังเมืองรูปสี่เหลี่ยม เทคโนโลยีการชลประทาน
กล่าวได้ว่า เป็นส่วนหนึ่งของอิทธิพลทางการเมือง จากศูนย์กลางอำนาจที่เมืองพระนคร
อย่างไรก็ตาม ก็ไม่ได้หมายความว่าจะต้องเป็นเมืองขึ้นของราชอาณาจักรขอมอันยิ่งใหญ่แห่งเมืองพระนคร
ดังที่มักเข้าใจสับสนกับวิธีการล่าเมืองขึ้น ในสมัยอาณานิคมตลอดมา
เพราะพบจารึกในอีสานหลายหลัก ที่เอ่ยพระนามของกษัตริย์ที่ไม่ได้ครองราชย์ในเมืองพระนคร
แต่เป็นญาติกับกษัตริย์แห่งเมืองพระนคร กล่าวได้ว่า ขอมในภาคอีสานเป็นเพียงขอมชายขอบนั่นเอง
การ นับถือศาสนาจากภายนอกนี้ น่าจะถูกเผยแพร่ผ่านพระสงฆ์ ฤาษี
นักบวช ที่ออกจาริกแสวงบุญเผยแพร่คำสอน ดังปรากฏในตำนานต่าง
ๆ กลุ่มชนชั้นที่รับระบบความเชื่อเช่นนี้ได้อย่างรวดเร็ว คือ
พวกกษัตริย์และชนชั้นปกครอง ซึ่งคงนับถือศาสนาฮินดูหรือพุทธศาสนาแบบมหายาน
เพราะรูปแบบความเชื่อเช่นนี้ ทำให้เกิดการจัดการปกครองแบบนครรัฐได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ส่วนประชาชนทั่วไปคงนับถือพุทธศาสนา และมีบางส่วนคงนับถือผีตามเดิม
หากเปรียบไปแล้ว ภาพถ่ายจากมุมสูงที่เห็นถึงแผนผังอันใหญ่โตของศาสนสถาน
ตลอดจนสภาพแวดล้อมบริเวณรอบ ๆ เสมือนแรงบันดาลใจอันแจ่มชัด ต่อการพิจารณาบริบทแวดล้อมทางสังคม
และวัฒนธรรมในการเกิดขึ้นของปราสาทหิน มากกว่าการศึกษาศิลปกรรม
และประติมานวิทยา*เฉพาะตัวปราสาทดังที่เป็นอยู่
การศึกษาปราสาทหินในมุมสูงทำให้เราได้เห็น...
----------------------------------------
บริเวณที่ตั้งของปราสาทหินหลายแห่ง ปรากฏความต่อเนื่องในการอยู่อาศัย
มาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์
เมืองพิมายอยู่ทางตอนบนของลุ่มน้ำมูล ในแอ่งโคราช มีมนุษย์อยู่อาศัยกันมาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์
ในเขตอำเภอโนนสูงและอำเภอพิมายมีลักษณะเป็นที่ราบ เรียกว่า "ทุ่งสัมฤทธิ์"
มีชุมชนสมัยก่อนประวัติศาสตร์ค่อนข้างหนาแน่น เรียกกันโดยมากว่า
ชุมชนในวัฒนธรรมทุ่งสัมฤทธิ์
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญคือ "บ้านปราสาท" ห่างจากเมืองพิมายราว
๑๒ กิโลเมตร มีการตั้งถิ่นฐานตั้งแต่เมื่อราว ๓,๐๐๐-๒,๕๐๐ ปีมาแล้ว
ใช้ภาชนะลักษณะเด่นแบบปากแตร ต่อมาใช้ภาชนะสีดำขัดมันหรือแบบพิมายดำ
ซึ่งใช้เรื่อยมาจนถึงสมัยทวารวดีที่แรกรับพุทธศาสนา บริเวณเมืองพิมายก็มีภาชนะแบบพิมายดำอยู่ด้วย
จนกระทั่งพุทธศตวรรษที่ ๑๓-๑๔ มีการรับพุทธศาสนาแบบมหายาน เข้ามาเป็นศาสนาประจำถิ่น
กลายเป็นเมืองศูนย์กลางในลุ่มน้ำมูล เนื่องจากตั้งอยู่บนเส้นทางคมนาคมระหว่างภูมิภาค
ผ่านไปยังพนมดงรัก ข้ามช่องเขาสู่เขมรต่ำในกลุ่มเมืองพระนคร
ขึ้นไปทางเหนือเข้าลุ่มน้ำชีและแอ่งสกลนครและลุ่มน้ำโขง ทางตะวันตกข้ามดงพญาเย็นแถบลำสนธิสู่เมืองศรีเทพและลพบุรี
ต่อมาเมื่อราวพุทธศตวรรษที่ ๑๘ พระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ ได้ต่อเติมเปลี่ยนแปลงปราสาทหิน
และสร้างอาคารศาสนสถานเพิ่มเติม
เมื่อมีการขยายตัวของชุมชนหนาแน่นขึ้น จากชุมชนสมัยก่อนประวัติศาสตร์กลายเป็นเมืองที่มีความซับซ้อน
เป็นเมืองที่มีผังรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าโดยการขุดคูน้ำชั้นเดียว
มีปราสาทพิมายเป็นศูนย์กลาง ต่อมาได้ขยายเมืองไปทางตะวันออกเฉียงใต้
ลักษณะเป็นชุมชนเมืองที่จัดสร้างขึ้นตามรูปแบบอิทธิพลจากเมืองพระนคร
โอบล้อมด้วยลำน้ำหลายสาย คือ ลำน้ำมูล ลำจักราช และลำน้ำเค็ม
ในรัศมี ๒๐ กิโลเมตรของเมืองพิมายแวดล้อมไปด้วยชุมชนบริวารซึ่งเป็นที่ลุ่มทำการเกษตร
ได้ดี
เมืองพิมายคือศูนย์กลางแห่งศิลปวัฒนธรรม และการปกครองของกลุ่มบ้านเมืองในลุ่มน้ำมูลตอนบน
ที่พัฒนาขึ้นมากจากชุมชนสมัยก่อนประวัติศาสตร์ จนกลายเป็นศูนย์กลางของชุมชน
ที่นับถือพุทธศาสนาแบบมหายานเป็นหลัก ในขณะที่ขอมเมืองพระนครนับถือฮินดู
อันแสดงให้เห็นความแตกต่างทางความเชื่อ และทางการเมืองของกลุ่มคนทั้งสองแห่งอย่างชัดเจน
----------------------------------------
ภูเขาศักดิ์สิทธิ์ของชุมชน กลายเป็นที่ตั้งศาสนสถานบนยอดเขา
มนุษย์มีความเชื่อดั้งเดิมคล้ายคลึงกันทุกกลุ่มชาติพันธุ์ว่า
ยอดเขาคือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ และสามารถติดต่อกับอำนาจเหนือธรรมชาติได้
ยอดเขาบางแห่งที่สูงและห่างไกล ปกคลุมด้วยหิมะหรือความหนาวเย็นกลายเป็นที่สถิตของเทพเจ้า
หลาย ๆ แห่ง คือสถานที่จาริกแสวงบุญของผู้คน ซึ่งเชื่อว่าการไปถึงยอดเขาจะสามารถติดต่อ
และใกล้ชิดกับอำนาจศักดิ์สิทธิ์ได้มากที่สุด
ความเชื่อดั้งเดิมของผู้คนในเขตเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก็เช่นเดียวกัน
เมื่อปรับรับระบบความเชื่อทางพุทธศาสนา และศาสนาฮินดูมาเป็นของตน
ปรัชญาเกี่ยวกับระบบจักรวาล ที่มีเขาพระสุเมรุเป็นแกนกลางของโลก
และยอดเขาคือสถานที่สถิตของเทพเจ้า สอดคล้องกับความเชื่อเดิมในท้องถิ่น
ดังนั้นเราจึงพบการคัดเลือกยอดเขาที่มีความสวยงาม หรือแปลกกว่ายอดเขาบริเวณใกล้เคียง
และการปรับเปลี่ยนยอดเขาอันศักดิ์สิทธิ์แต่เดิม ให้กลายเป็นศาสนสถานสำคัญของชุมชน
ใน บรรดาศาสนสถานขนาดใหญ่บนยอดเขา ปราสาทพระวิหารมีความโดดเด่นที่สุด
ตั้งอยู่บนเทือกเขาพนมดงรักกั้นระหว่างเขตเขมรต่ำกลุ่มเมืองพระนคร
และเขมรสูงในภาคอีสานของไทย บริเวณกลุ่มปราสาทหันหน้าสู่เขตเขมรสูงลาดต่ำจากเหนือไปใต้
ความสูงต่างกันราว ๑๒๐ เมตร ลักษณะเป็นที่ราบหน้ากระดานบนยอดเขา
บริเวณหน้าผาชันเรียกกันว่า เป้ยตาดี หากชาวขอมโบราณจากเมืองพระนคร
ต้องการมาแสวงบุญที่ปราสาทพระวิหาร จะต้องเข้ามาทางช่องเขาบริเวณใกล้เคียง
หรือปีนหน้าผาสูงชันที่ช่องบันไดหัก
กล่าวกันว่าปราสาทพระวิหารคือการแสดงอำนาจของกษัตริย์แห่งเมืองพระนคร
ที่เน้นความเชื่อเรื่องเทวราชา อันหมายถึงกษัตริย์คืออวตารหนึ่งของเทพเจ้าในศาสนาฮินดู
ศูนย์รวมแห่งคติความเชื่อ คือการสร้างมหาปราสาทประดิษฐานศิวลึงค์
อันเป็นสัญลักษณ์แทนพระศิวะ และพระมหากษัตริย์ ดังนั้นจึงมีการต่อเติมจากกษัตริย์แห่งเมืองพระนครหลายยุคหลายสมัย
การเติบโตของชุมชนบริเวณใกล้เคียงเขาพระวิหาร สัมพันธ์กับช่องเขาติดต่อระหว่างบ้านเมืองทั้งสองเขต
ของเทือกเขาพนมดงรัก เส้นทางผ่านช่องเขา คือมีชุมชนสมัยก่อนประวัติศาสตร์และสมัยทวารวดีอยู่น้อยมาก
ส่วนใหญ่จะเป็นชุมชนที่สืบเนื่องจากอิทธิพลขอมสมัยเมืองพระนครไปแล้ว
จึงพบปราสาทขนาดใหญ่และเล็กอยู่ทั่วไป ที่สำคัญและมีขนาดใหญ่
เช่น ปราสาทสระกำแพงใหญ่ และ ปราสาทพนมรุ้ง
ปราสาทสระกำแพงใหญ่เป็นปราสาทขนาดใหญ่และฝีมือช่างชั้นสูง สะท้อนให้เห็นว่าน่าจะเป็นปราสาทที่มีความสำคัญระดับภูมิภาค
ที่สร้างขึ้นในบริเวณเมืองที่อยู่ในตำแหน่งที่มีความสำคัญทางสังคม
เศรษฐกิจ และการเมืองในขณะนั้น และควรเป็นปราสาทที่เกี่ยวข้องกับกษัตริย์
หรือเจ้านายท้องถิ่นที่สัมพันธ์กับกษัตริย์แห่งเมืองพระนครอยู่บ้าง
จึงมีการซ่อมต่อเติมหลายสมัย อีกทั้งได้พบเทวรูปสำริดขนาดใหญ่ฝีมือคล้ายกับที่พบในเมืองพระนครด้วย
ทางใต้ของแม่น้ำมูลซึ่งเป็นที่ราบลุ่มและที่สูง มีภูเขาขนาดเล็กจำนวนหนึ่งซึ่งเคยเป็นภูเขาไฟในจังหวัดสุรินทร์และบุรีรัมย์
บริเวณยอดภูพนมรุ้งเป็นที่ตั้งของปราสาทพนมรุ้ง ซึ่งคงเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของคนในท้องถิ่น
จึงมีการสร้างศาสนสถานขนาดใหญ่บนยอดภูเขาไฟซึ่งดับแล้ว
ปราสาทพนมรุ้งเป็นปราสาทที่สร้างขึ้นเพื่อถวายแด่พระศิวะ มีความงามเทียบเท่าฝีมือช่างจากศูนย์กลางที่เมืองพระนคร
จึงคงไม่เป็นเพียงศาสนสถานภายในท้องถิ่นเท่านั้น แต่มีความสัมพันธ์กับกษัตริย์จากเมืองพระนคร
เพราะพนมรุ้งคือแหล่งกำเนิดผู้นำท้องถิ่นสำคัญ ซึ่งจารึกระบุว่าเป็นพระญาติผู้ใหญ่ของพระเจ้าสุริยวรมันที่
๒ ผู้สร้างปราสาทนครวัด
ภูเขาศักดิ์สิทธิ์ประจำท้องถิ่นจึงเปลี่ยนแปลงฐานะกลายเป็นเทวาลัยของพระศิวะในที่สุด
ที่ ตั้งของปราสาทอยู่ในตำแหน่งสูงสุดของภูเขา ต่ำลงไปเป็นบริเวณแอ่งซึ่งคือปากปล่องภูเขาไฟ
ส่วนหนึ่งคืออ่างเก็บน้ำ มีลำน้ำที่ไหลลงจากเขาสู่ที่ราบลุ่มสู่ชุมชนซึ่งมีศาสนสถาน
ไร่นา สระน้ำ และอ่างเก็บน้ำกระจายอยู่ทั่วไป มีแนวคันชักน้ำไปที่ปราสาทเมืองต่ำ
ซึ่งขุดบารายขนาดใหญ่รอรับน้ำที่ไหลมาจากภูพนมรุ้ง
นอก จากนี้ ภูอังคารและภูปลายบัต ซึ่งเป็นภูเขาในบริเวณใกล้เคียง
ก็มีศาสนสถานอยู่บนเขาเช่นเดียวกัน เพียงแต่ไม่ใหญ่และงดงามเท่าภูพนมรุ้ง
กลุ่ม ปราสาทตาเมือนอยู่ในเขตเทือกเขาพนมดงรัก ใกล้ช่องตาเมือน
อันเป็นช่องเขาติดต่อระหว่างเขตเขมรสูงกับเขมรต่ำ ประกอบด้วยปราสาทสามกลุ่ม
คือ ปราสาทตาเมือน คือธรรมศาลาหรือที่พักคนเดินทาง และปราสาทตาเมือนโต๊ดลักษณะเป็นอโรคยศาล
ซึ่งปราสาททั้งสองกลุ่มสร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗
ส่วนปราสาทตาเมือนธม เป็นปราสาทขนาดใหญ่ที่สุด สร้างบนพื้นของภูเขาในส่วนที่เป็นพื้นหินธรรมชาติ
สิ่งที่ทำให้ปราสาทตาเมือนธมเชื่อมโยงกับแนวคิดเรื่องภูเขาศักดิ์สิทธิ์ของชุมชนได้
คือภายในปราสาทประธานประดิษฐานศิวลึงค์ ที่ใช้แท่งหินทรายธรรมชาติ
ซึ่งชี้ให้เห็นความสำคัญของการเลือกพื้นที่ในการสร้างศาสนสถานได้อย่างดี
----------------------------------------
ปราสาทหินคือศูนย์กลางของเมือง ที่มีระบบชลประทานชั้นยอดในเขตแห้งแล้ง
ระบบชลประทานที่เป็นการขุดสระน้ำขนาดใหญ่รับอิทธิพลมาจากอินเดียใต้และศรี
ลังกา เป็นแม่แบบให้อารยธรรมขอมและส่งอิทธิพลต่อมาสู่ดินแดนในภาคอีสาน
ความแตกต่างคือบารายในกัมพูชา และเมืองไทยเห็นได้ชัดว่าควบคุมโดยรัฐ
แต่ในอินเดีย และศรีลังกาควบคุมด้วยชุมชนท้องถิ่น เพราะเกี่ยวข้องกับเกษตรกรรมในชุมชนด้วย
พื้นที่บริเวณอีสานส่วนใหญ่เป็นเขตที่ขาดแคลนน้ำธรรมชาติในช่วงหน้าแล้ง
ความต้องการน้ำใช้ตลอดทั้งป ีทำให้วิธีการกักเก็บน้ำเป็นสิ่งที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง
พัฒนาการของการตั้งถิ่นฐาน ในยุคแรก จะอยู่ใกล้แหล่งน้ำธรรมชาติ
เช่น สระ ลำห้วยแม่น้ำ ภายหลังจึงมีการขุดคูน้ำล้อมรอบศาสนสถานหรือชุมชน
ต่อมาจึงสามารถจัดการน้ำโดยการขุดสระขนาดใหญ่กักเก็บน้ำไว้ใช้ได้
ลักษณะดังกล่าวแสดงถึงพัฒนาการทางสังคม และวัฒนธรรมได้อย่างดี
สระน้ำสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ หรือที่เรียกว่า บาราย สัมพันธ์อย่างชัดเจนกับอิทธิพลวัฒนธรรมขอมจากเมืองพระนคร
โดยเฉพาะในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ บารายหรือสระน้ำขนาดใหญ่
จะเกิดขึ้นไม่ได้ถ้าไม่มีเมือง หรือที่เรียกว่าปุระตั้งอยู่ด้วย
เพราะต้องอาศัยกำลังคนจำนวนมากในการขุดสระ เพื่อรองรับประชากรจำนวนมากในระดับเมือง
หรือปุระนั่นเอง ดังนั้นจึงต้องได้รับการอุปถัมภ์หรือควบคุมโดยกษัตริย์หรือชนชั้นสูง
ชุมชนเมืองขนาดใหญ่ที่รับอิทธิพลวัฒนธรรมขอม สามารถพัฒนาการตั้งถิ่นฐานในเขตแห้งแล้งได้ทั้งปี
โดยการกักเก็บน้ำไว้ในบาราย อ่างเก็บน้ำหรือบารายขนาดใหญ่ที่สุดในเขตอีสานขนาดราว
๑,๒๐๐ x ๗๐๐ เมตร
สระน้ำขนาดเล็กในบริเวณศาสนสถาน คือสัญลักษณ์ของมหาสมุทรทั้งสี่ทิศที่มีเขาพระสุเมรุเป็นแกนกลาง
ไม่ใช่บารายซึ่งเป็นสระน้ำขนาดใหญ่ สำหรับใช้เพื่อการเกษตร และอุปโภคบริโภคของผู้คนทั้งชุมชน
จากภูพนมรุ้งมีแนวคันชักน้ำไปที่บารายรูปสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่
ใกล้กับปราสาทเมืองต่ำ ซึ่งอยู่ในบริเวณที่ราบไม่ไกลจากพนมรุ้งนัก
เป็นศาสนสถานที่อยู่ในคติความเชื่อเดียวกัน ปราสาทเมืองต่ำมีแผนผังที่งดงามสมมาตร
และสมบูรณ์ที่สุดแห่งหนึ่งตามคติความเชื่อเรื่องจักรวาล
ศาสนสถานเนื่องในศาสนาฮินดูและพุทธศาสนา สร้างตามปรัชญาความเชื่อเกี่ยวกับจักรวาล
ดังนั้นองค์ประกอบทางสถาปัตยกรรม จึงเป็นสัญลักษณ์แทนความเชื่อเรื่องจักรวาล
การสร้างปราสาทหินมีปราสาทประธานแทนเขาพระสุเมรุเป็นแกนกลางของโลก
สระน้ำทั้งสี่ทิศแทนมหานทีสีทันดร มีการแกะสลักสัตว์ต่าง ๆ ที่อาศัยอยู่ตามเชิงเขาพระสุเมรุประกอบตามที่ต่าง
ๆ
บารายหรืออ่างเก็บน้ำของปราสาทสระกำแพงใหญ่ อยู่ทางด้านตะวันออกของตัวปราสาท
น่าเสียดายที่ขอบด้านหนึ่งถูกทางรถไฟตัดไป แสดงให้เห็นว่าบริเวณนี้เคยเป็นชุมชนที่มีขนาดใหญ่
ซึ่งพ้องกับฝีมือช่างชั้นเยี่ยมในการสร้างปราสาท และโบราณวัตถุสำคัญที่พบ
อย่างไรก็ตาม บารายในสมัยโบราณได้กลายเป็นอ่างเก็บน้ำ ที่ยังคงใช้กันมาถึงปัจจุบัน
แม้บางแห่งจะถูกทำให้เป็นอ่างเก็บน้ำยุคใหม่ทับซ้อนบารายเดิม
บางแห่งขุดขยายเพิ่มเติมจนไม่ใช่รูปสี่เหลี่ยมไปบ้าง
แต่ก็ทำให้เห็นว่า ความสำคัญของการกักเก็บน้ำในภาคอีสานยังคงมีความจำเป็นเสมอมา
ทั้งหมดนี้คือตัวอย่างของบริบทในการศึกษาสังคมวัฒนธรรมของผู้สร้างปราสาทหิน
ที่ไม่ได้ถูกนำมาคิดมามองเท่าไรนัก หากเราพยายามทำความเข้าใจโบราณสถาน
โดยปราศจากอคติครอบงำทางความคิด ที่เวียนวนแต่เฉพาะความงาม ลักษณะทางศิลปกรรม
และประติมานวิทยาเพียงอย่างเดียว เราจะพบว่า มิติในการศึกษาจากมุมสูง
ที่เข้าใจไปถึงสังคมและวัฒนธรรมของผู้สร้าง จะเปลี่ยนมุมมองที่เคยเห็นไปได้อย่างกว้างไกลและคาดไม่ถึงทีเดียว
เมื่อถึงเวลาใช้งานจะได้รู้เท่าทัน และไม่กลายเป็นเบี้ยให้คนอื่นเขาจับเดินอยู่ร่ำไป
----------------------------------------
*ประติมานวิทยา (Iconography) การศึกษาลักษณะเรื่องราว รูปภาพ
รูปเคารพ ที่เป็นงานศิลปะ โดยการพิสูจน์ พรรณนา ตีความ แยกแยะ
ประวัติ และความหมายของวัตถุ หรือสัญลักษณ์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวเนื่องทางศาสนา
และวัฒนธรรม เช่น การศึกษาสัญลักษณ์ และความหมาย ในงานศิลปะทางศาสนา
ของประติมากรรม และสถาปัตยกรรมโบราณ เป็นต้น
----------------------------------------
บรรณานุกรม : ศรีศักร วัลลิโภดม. แอ่งอารยธรรมอีสาน สำนักพิมพ์มติชน,
กรุงเทพฯ, ๒๕๓๓
ขอขอบพระคุณ : นิตยสารสารคดี
---------------- อ่านเรื่ององค์เทพเพิ่มเติม
----------------
หน้าแรก-องค์เทพ
(สยามคเณศ)
ศาสนาพราหมณ์
ศาสนาฮินดู เทพเจ้าอินเดีย
พระพรหม
ท้าวมหาพรหม พระพรหมเอราวัณ ศาลพระพรหม
, พระวิษณุ
พระนารายณ์ พระนารายณ์ทรงครุฑ
นารายณ์ทรงสุบรรณ คาถาบูชาพระนารายณ์สิบปาง
, พระศิวะ
พระอิศวร , พระราม
รามเกียรติ์ รามายณะ ,
พระกฤษณะ
ภควัทคีตา มหาภารตะ ,
ครุฑ
พระยาครุฑ พญาครุฑ
วิธีไหว้พญาครุท ตำนานพญาครุท บทบูชาพญาครุท
,
พญานาค พระยานาค วิธีบูชาพญานาค การไหว้พญานาค
พระแม่อุมาเทวี
เจ้าแม่อุมาเทวี , พระแม่กาลี
เจ้าแม่กาลี ,
พระแม่ทุรคา
เจ้าแม่ทุรกา , พระตรีมูรติ
การบูชาพระตรีมูรติ
พระแม่ลักษมี
เจ้าแม่รัศมี พระนางลักษมี พระลักษมี
,
พระแม่สรัสวตี
พระสรัสวดี พระแม่สุรัสวตี พระสุรัสวดี
,
พระขันทกุมาร
การบูชาพระขันธกุมาร ,
หนุมาน
พระหนุมาน องค์หนุมาน การไหว้หนุมาน
,
พระอินทร์ พระอินทร์ทรงช้างเอราวัณ
ท้าวจตุโลกบาล
- เทพผู้รักษาประจำทิศ เทพประจำทิศ
,
ท้าวเวสสุวัณ
ท้าวเวสสุวรรณ ท้าวกุเวร
พระแม่คงคา
แม่น้ำคงคา เมืองพาราณสี ประเทศอินเดีย
, พระแม่ธรณี
, พระแม่โพสพ
--------- สถานที่ ศาล เทวาลัย
เพื่อกราบไหว้ขอพรองค์เทพ ---------
วัดเทพมณเฑียร
วัดเทพมณเทียร , เทวสถานโบสถ์พราหมณ์
เสาชิงช้า
, วัดวิษณุ
ยานนาวา , พิพิธภัณฑ์พระพิฆเนศ
พิพิธภัณฑ์พระพิฆเณศวร์ เชียงใหม่
, ศาลพระพิฆเนศห้วยขวาง
พระพิฆเณศสี่แยกห้วยขวางรัชดาภิเษก
, เสาชิงช้า
, พระพิฆเนศนครนายก
พระพิฆเณศที่ใหญ่ที่สุดในโลก (ปางนั่ง-ปูนปั้น)
, พระพิฆเนศฉะเชิงเทรา
พระพิฆเนศที่ใหญ่ที่สุดในโลก (ปางยืน-สำริด)
วัดพระศรีมหาอุมาเทวี
สีลม วัดแขกสีลม นวราตรี งานนวราตรี
เมืองโบราณ
สมุทรปราการ , พิพิธภัณฑ์ช้างสามเศียร
ช้างเอราวัณ สมุทรปราการ
ช้าง
3 เศียร พิพิธภัณฑ์ช้าง 3 เศียร จังหวัดสมุทรปราการ
-
พระพิฆเนศ ฉะเชิงเทรา องค์พระพิฆเณศ วัดสมาน จ.ฉะเชิงเทรา
-
พระพิฆเนศวร ฉะเชิงเทรา องค์พระพิฆเนศ พระพรหม พระวิษณุ
พระศิวะ ที่วัดสมานรัตนาราม จังหวัดฉะเชิงเทรา
-
ศาลท้าวมหาพรหมเอราวัณ พระพรหมเอราวัณ แยกราชประสงค์
-
พระพิฆเนศที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ที่อินเดีย
อัสตะวินายัก พระพิฆเนศกำเนิดตามธรรมชาติ 8 แห่ง
-
รวมรูปองค์เทพ | -
รวมสถานที่บูชาองค์เทพ | -
รวมความรู้การบูชาองค์เทพ
โครงการ
"พันเทวาลัย ล้านศรัทธา"
รวมสถานที่สักการะเทพเจ้าของพราหมณ์ฮินดูทั่วประเทศไทย
----------------- เทศกาล
งานสำคัญต่างๆ -----------------
-
"คเณศจตุรถี" งานแห่พระพิฆเณศวร์
วันคเณศจตุรถี วันประสูติพระพิฆเนศวร์
-
"นวราตรี" งานวัดแขก งานแห่พระแม่อุมาเทวี
ร่างทรงพระแม่อุมา งานนวราตรี
-
"มหาศิวราตรี" เทศกาลมหาศิวาราตรี
วันบูชาพระศิวะในงานมหาศิวะราตรี
-
"ดีปาวลี" ดีวาลี่ ทีปาวาลี
เทศกาลดีปาวาลี งานบูชาพระแม่ลักษมีในงานดีปาวรี
-
"พระราชพิธีตรียัมปวาย"
งานตรียัมปวาย งานประจำปี เทวสถานโบสถ์พราหมณ์
- โบสถ์พราหมณ์ การเดินทางไปโบสถ์พราหม์
แผนที่โบสถ์พราห์ม , พระราชพิธีแรกนาขวัญ
งานแรกนาขวัญ
[ การบูชาเทพเจ้า
]
-
รวมบทสวดมนต์บูชาพระพิฆเนศวร
คาถาบูชาพระพิฆเณศวร์ การไหว้องค์เทพ บูชาเทพ วิธีบูชาองค์เทพ
-
ความเข้าใจผิดๆเกี่ยวกับการบูชาเทพ การไหว้เทพฮินดู
-
เครื่องหมายโอม...สัญลักษณ์โอม และวิธีการสวดบูชา
| -
เครื่องหมายสวัสดิกะ...สัญลักษณ์สวัสติกะแห่งพระพิฆเนศ
-
สิ่งที่ควรรู้สั้นๆ เกี่ยวกับพระพิฆเนศ การบูชาพระพิฆเณศวร์
| -
ตำนานกำเนิดพระพิฆเนศ ประวัติพระพิฆเณศ
-
ตำนานว่าด้วยเศียรช้าง งาข้างเดียว และหนูบริวารของพระพิฆเนศ
-
ตำนานองค์พระพิฆเนศในเอเชียแปซิฟิก |
-
ตำนานองค์พระพิฆเนศในประเทศไทย
-
พระคเณศ ในฐานะเทพแห่งปัญญาและความรู้
| -
พระพิฆเณศในฐานะหัวหน้าบริวารของพระศิวะ
-
พรที่พระพิฆเนศได้รับจากมหาเทพ-มหาเทวี
| -
อานิสงค์จากการบูชาพระพิฆเนศ การขอพรพระพิฆเนศ
-
คเณศจตุรถี...วันประสูตรพระพิฆเนศ วันคเนศจตุรถี
เทศกาลพระพิฆเนศ งานแห่พระพิฆเณศวัดแขก
-
การบูชาพระแม่กาลี (ตามวิธีของ อ.พิทักษ์ โค้ววันชัย
สำนักพิมพ์สยามคเณศ)
-
บทสรรเสริญพระศิวะ ผู้คืออักขระ 5 ตัว บทสวดพระศิวะมหาเทพ
| -
พระแม่ลักษมี 8 ปาง การบูชาพระแม่ลักษมี
-
พญาครุฑ การบูชาพญาครุฑ องค์พญาครุฑ
| -
พญานาค การบูชาองค์พญานาค | -
ท้าวเวสสุวรรณ ท้าวเวสสุวัณ ท้าวจตุโลกบาล
-
รูปพระแม่อุมาเทวี องค์พระแม่อุมาเทวี พระศรีมหาอุมาเทวี
การบูชาพระแม่อุมาเทวี | -
องค์พระตรีมูรติ การบูชาพระตรีมูรติ
-
พระวิษณุ หรือ พระนารายณ์ การบูชาพระวิษณุ องค์พระวิษณุ
ปางของพระวิษณุ | -
องค์พระแม่ลักษมี รูปพระแม่ลักษมี
-
ตำนานพระสีวลี ผู้เป็นเลิศในลาภสักการะ
| -
พระสีวลีผู้เป็นเลิศในลาภสักการะ | -
การบูชาพระสีวลี การขอพรพระสีวลี
-
การกำเนิดพระสีวลี โดยการทรงประทานพรของพระพุทธเจ้า
| -
พระสีวลี หรือ พระสิวลีพระอรหันต์ผู้มีลาภสักการะเป็นที่สุด
-
ตำนานพระสีวลี พระสิวลี พระสีวะลี ตำนานกำเนิดพระสีวลี
-
พระเกจิ ประวัติพระสงฆ์ หลวงพ่อจรัญ
| -
การเดินทางไปวัด ขอพรหลวงพ่อ วัดในจังหวัดต่างๆ
-
เจ้าแม่กวนอิม องค์เจ้าแม่กวนอิม การบูชาเจ้าแม่กวนอิม
พระแม่กวนอิมปางต่างๆ
[ พระศิวะมหาเทพ
]
1.
ตำนานพระศิวะ | 2.
รูปลักษณ์
แห่งพระศิวะ วิธีบูชาพระศิวะมหาเทพ
| 3.
เมล็ดรุทรักษะ
เมล็ดน้ำตาพระศิวะ
4.
โคนนทิ พาหนะแห่งพระศิวะ
สัตว์ศักดิ์สิทธิ์
| 5.
ศิวะนาฏราช
พระศิวะร่ายรำ ปางของพระศิวะ
6.
ศิวลึงก์ สัญลักษณ์แทนองค์พระศิวะ
การบูชาศิวลึงค์
| 7.
คาถา บทสวดมนต์ การบูชาพระศิวะ
[ พระประจำวันเกิด
, นวนพเคราะห์ ]
พระประจำวันเกิด
พระประจำวันอาทิตย์ พระประจำคนเกิดวันอาทิตย์ พระสุริยะเทพ
(พระอาทิตย์)
พระประจำวันเกิด
พระประจำวันจันทร์ พระประจำคนเกิดวันจันทร์ พระจันทร์
พระประจำวันเกิด
พระประจำวันอังคาร พระประจำคนเกิดวันอังคาร พระอังคาร
,
พระประจำวันเกิด
พระประจำวันพุธ พระประจำคนเกิดวันพุธกลางวัน พระพุธ
พระราหู
การไหว้พระราหู วิธีบูชาพระราหู คาถาบูชาพระราหู
พระประจำวันเกิด พระประจำคนเกิดวันพุธกลางคืน
พระประจำวันเกิด
พระประจำวันพฤหัสบดี พระประจำคนเกิดวันพฤหัสบดี
พระพฤหัสบดี
พระประจำวันเกิด
พระประจำวันศุกร์ พระศุกร์
, พระประจำวันเสาร์
พระประจำวันเกิด พระเสาร์ , พระเกตุ
|
|
|