ตำนานพระอาทิตย์
(พระสุริยะ) โดย : ศรีมหาโพธิ์
อาทิตย์ ตามคัมภีร์ไตรเพทของพราหมณ์ กล่าวว่ามีถึง ๘ องค์ มีชื่อต่างๆกันว่าเป็นโอรสของพระกัศปประชาบดี
กับพระอทิติ แต่ได้ทอดทิ้งพระมรรตาณะฑะเสียองค์หนึ่ง คงนำไปเฝ้าพระเป็นเจ้าแค่
๗ องค์ ต่อมาไกล่เกลี่ยตกลงกันได้ จึงยอมรับพระมรรตาณะฑะเป็นอาทิตย์ด้วย
จึงรวมเป็นพระอาทิตย์ ๘ องค์ ได้แก่ ๑. วรุณาทิตย์ ๒. มิตราทิตย์
๓. อริยมนาทิตย์ ๔.ภคาทิตย์
๕. องศาทิตย์ ๖.อินทราทิตย์ ๗.ธาตราทิตย์ ๘.สุริยาทิตย์
องค์ที่มีนามว่า สุริยาทิตย์ นี่แหละคือ พระมรรตตาณะฑะ ที่พระมารดาคือพระอทิติ
ไม่พาไปเฝ้าพระผู้เป็นเจ้า จึงไม่ได้อยู่บนเทวโลกอย่างพระอาทิตย์องค์อื่นๆ
ทั้ง ๗ องค์แรก จึงคงเที่ยวขับราชรถอยู่ระหว่างเทวโลกกับมนุษย์โลกตราบเท่าทุกวันนี้
ตามคัมภีร์พระเวท พระอาทิตย์จะมีนามนัยหนึ่งว่า พรุสูรย์ หรือ พระ
สุริยเทพ มีหน้าที่ให้แสงสว่างและความอบอุ่นต่อมนุษย์ สัตว์และพืชพันธุ์บนพื้นโลกนี้
มีบางแห่งเรียกว่า สวิตฤ(สวิต์ฤ) ขี่ราชรถเทียมม้าแดง ๗ ตัว
มีเรื่องเล่าว่า พระสุริยเทพ มีชายาหลายนาง แต่ที่ปรากฏนามเสมอๆ ได้แก่นางสัญญา
ซึ่งเป็นธิดาของพระวิศวกรรม มีลูกด้วยกันคือ พระมนูไววัสวัต (หรืออีกนามว่า
ท้าวสัตยพรต) ๑ พระยม (หรือพระธรรมราชา) ๑ นางยมี (หรือ ยมุนา) ซึ่งเป็นชื่อแม่น้ำสายสำคัญได้แก่
แม่น้ำยมนา หรือ ยมุนา)
เนื่องจากพระสุริยเทพมีกายรุ่งโรจน์ร้อนแรงเหลือทน นางสัญญาจึงให้
นางฉายา ไปเป็นเมียแทน ส่วนตนนั้นได้ออกบวช บำเพ็ญพรตเป็นโยคินี อยู่ในป่า
และไม่ต้องให้สามีจำได้ จึงจำแลงแปลงร่างเป็นม้า มีฉายานามว่า อัศวินี
อย่างไรก็ตาม พระสุริยเทพก็มีอิทธิฤทธิ์เหมือนกัน จึงแปลงร่างเป็นม้าไปสมสู่เป็นคู่ผัวตัวเมียจนเกิดลูกด้วยกัน
คือ อัศวิน แฝดคู่กับ เวรันต์ แล้ว จึงพานางกลับมายังสำนักเดิมแห่งตน
ฝ่ายพระวิศวกรรมผู้พ่อตา (ในปางที่แยกมาจากพระวิษณุหรือพระอิศวร)
จึงจับพระสุริยะกลึง เพื่อขัดถูขูดผิวกายที่สว่างมากๆออกเสีย ๑ ส่วนใน
๘ ส่วน ผิวที่ขูดออกไปนั้น พ่อตาได้นำไปสร้างเป็น จักร ถวายพระนารายณ์
๑ ตรีศูล ถวายพระอิศวร ๑ คฑา(ไม้เท้า)ถวายท้าวกูเวร ๑หอก ถวายแด่พระขันทกุมาร
๑ และนอกจากนี้ยังนำไปสร้างเป็นอาวุธแจกจ่ายให้เทพยดาอื่นๆจำนวนมาก
ในรามายณะ กล่าวว่า พระสุริยเทพหรือพระอาทิตย์ เป็นพ่อของ พญาสุครีพ
ลิงผู้ครองนครกีษกินธยา
ในมหาภารตะ ว่า เป็นพ่อท้าวกรรณะ ผู้ครองแคว้นองคราษฎร์(เมืองเบงคอล)ผู้เป็นเสานาบดีแม่ทัพฝ่ายโกรพ
ในหริศวัต ว่า เป็นพ่อของพระมนูไววัสสัต ซึ่งเป็นพ่อของท้าวอิกษวากุ
ผู้เป็นบรมชนกแห่งกษัตริย์สุริยวงศ์ ผู้ครองนครศรีอโยธยา และนครมิกิลา
ก็แลพระมนู นั้นยังมีธิดาชื่อ นางอิลา ซึ่งได้เป็นมเหสีของ พระพุธเทวราช
พระพุธกับนางอิลามีโอรสคือ ท้าวปุรูรพ บรมกษัตริย์แห่งจันทรวงศ์ กับมีความนิยมกันว่า
คราวพระสุริย์แปลงเป็นม้าอยู่นั้น ได้พบพระฤา ชื่อ ยาญวัลกย์ ได้บอกพระอรชุนยัชุรเวท
ให้แก่พระยาญวัลกย์
พระอาทิตย์หรือพระสุริยาทิตย์ ถ้ากล่าวในหมู่เทวดา กลุ่มดาวนพเคราะห์
เรียกว่า ระวี (ระพี) และยังมีชื่อต่างดันออกไปเช่น:-
๑. ทินกร = ผู้ทำวัน ๒. ทิวากร = ผู้ทำวัน
๓. ภาสกร = ผู้ทำแสงสว่าง ๔. ประภากร = ผู้ทำแสงสว่าง
๕. อาภากร = ผู้ทำแสงสว่าง ๖. สวิตฤ = ผู้เลี้ยง
๗.อรหบดี = ผู้เป็นใหญ่ในวัน ๘. โลกจักษุ = ผู้เป็นตาโลก
๙. สหัสสรกิรณะ = ผู้มีแสงพันหนึ่ง ๑๐. วิกรรตตะณะ = ผู้ถูกขูดแสงออก
ในคัมภีรไตรเพท ยังกล่าวไว้ว่า พระสุริยาทิตย์นั้น มีเนตร (ตา) เป็นทอง
มีกร(แขน) เป็นทอง และมีชิวหา(ลิ้น)เป็นทอง ทรงรถเทียมม้าเท้าด่างขาว
ในคัมภีรปุรณะ แสดงว่า รูปร่างพรอาทิตย์ มีสีกายแดงแก่ มี ๓ เนตร
๔ กร ถือดอกบัว ๒ ข้าง อีกสองข้างข้างหนึ่งให้พรอีกข้างหนึ่งกวัวให้บูชา
นั่งมาบนดอกบัวหลวง มีรัศมีเปล่งปลั่งรุ่งโรจน์อยู่รอบกาย มีสารถีคือพระอรุณ
การบูชาพระสุริยาทิตย์นั้น มีสืบกันมาเนิ่นนานแล้วตั้งแค่สมัยพระเวท
ต่อมาในต้นคริสต์ศักราช ลัมธิกรบูชาพระอาทิตย์มีความเจริญรุ่งเรือง
และมีการพัฒนาไปมากทั้งอินเดียเหนือและใต้ จะมีการสร้างเทวลัยหรือเทวสถาน
อุทิศให้กับรูปปั้น รูปหล่อ ของพระสุริยเทพโดยเฉพาะ ดังปรากฏที่เมืองมูลแทน
แคว้นแคชเมียร์(กัษมีระ)
อนึ่งยังมีชาวฮินดูรวมเอาพระอาทิตย์เข้าในการบูชาเป็นเทพเจ้าทั้ง
๕ องค์ ในแห่งเดียวกัน เทวาลัยที่สำคัญจะตั้งอยู่ตรงกลาง ส่วนอีก๔
แห่งจะตั้งอยู่ตามทิศ ๔ มุม เรียกตามคติชาวฮินดูว่า ฮินดูปัญจายาคะนะ
มีเทพคือ สุริยะเป็นแกนกลาง ส่วน ๔ ทิศนั้นหมายถึง พระวิษณุ พระคเณศร์
พระเทวี และพระศิวะ
แต่ในยุดหลังๆ ต่อมาการบูชาสุริยเทพได้เสื่อมลดน้อยถอยลงแต่ก็ยังจัดอยู่ในเทพชั้นรอง
มีกล่าวถึงราชรถของพระอาทิตย์บ้าง ที่ว่าเทียมด้วยม้า ๗ ตัวนั้น บางคัมภีร์ว่าความจริงเทียมด้วยม้าเพียงตัวเดียว
แต่มี ๗ หัว เช่นเดียวกับนาค ๗ หัวมีตัวเดียวนั่นเอง ที่กล่าวแตกต่างกันไปเนื่องจาก
นักปราชญ์ทางศาสนาฮินดูต่างมีหลากหลายความคิด แล้วแต่จะกล่าวสรรเสริญยกย่องเทพเจ้าแห่งตน
เลอเลิศประเสริฐศรีเพียงใดนั่นเอง
รูปพระอาทิตย์หรือพระสุริยเทพ ตามลัทธิความเชื่อถือของชาวฮินดู จะทำให้มีรูปกายสีแดง
เรือนร่างมนุษย์ นั่งบนรถเทียมม้า ๗ ตัว หรือตัวเดียวมี ๗ หัว ปรากฏ
ประกายแสงสว่างรุ่งเรืองรอบรถและม้ามีสารถีนามว่า อรุณ แหล่างสำนักคือ
วิวัสวดี
ส่วนมเหสีมีเพิ่มมาอีก ๓ นาง คือ สวรรณี ๑ สวาดี ๑ และ นางมหาวีรยา๑
สำหรับมเหสีเดิมคงได้แก่ นางสัญญา ๑ นางฉายา ๑ และนาง อัศวนี ๑ เทียบตามคติพราหมณ์
ผู้ให้กำเนิดโหรศาสตร์ท่ากล่าวว่า พระอาทิตย์ ท่านว่า มีผิวกายดำแดง
ผิวเนื้อสองสี ประดับอาภรณ์ ด้วยเครื่องทรงเป็นแก้วมณีแดง หรือปัทม
ทรงราชสีห์เป็นพาหนะ
เป็นเทพที่อุบัติขึ้นในจักรวาลก่อนดาวเคราะห์ทั้งมวล เป็นดังไฟร้อนแรงรุ่งโรจน์ร้ายแรงยิ่งนัก
มีกำลัง ๖ ทางศาสนาฮินดูเรียกว่า สุริยเทพ สถิตอยู่เบื้อง ทิศอิสาณ
แปลว่า ทิศแห่งพระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่
ตามหลักคัมภีร์พระเวท ตอนฤคเวท กล่าวว่า ร่างของพระอาทิตย์ มีลักษณะเป็นนกมีปีกอันสวยสง่างาม
มีรัศมีวายกายสีแดง เป็นแสงรุ่งโรจน์รอบตัว มี ๔ กร มี อรุณเป็นสารถี
รถม้าเทียม ๗ ตัว บางตำราว่า ๑ ตัว แต่มี ๗ หัว ที่ประทับสุรยเทพ เรียกว่า
วิวัสวดี
ดวงอาทิตย์ ตามหลักโหรราศาสตร์ ประจำราศีธาตุไฟ เป็นดาวฤกษ์ที่ให้แสงสว่างและเสริมกำลังให้แก่ดาวนพเคราะห์ทั้งหลายอันก่อให้เกิดมีสิ่งมีชีวิตเกิดขึ้นในโลก
เช่น มนุษย์ สัตว์ และพืชต่างๆ |