ตำนานพระเสาร์
โดย : สยามคเณศ
ในคัมภีร์ปุราณะว่าพระเสาร์เป็นโอรสพระอาทิตย์กับพระนางฉายา อีกนัยหนึ่งก็คือ
เป็นโอรสของพระพลราม (มหากาพย์มหาภารตะ) กับนางเรวดี
นางสังคณา (หรือพระนางสรัณยา) ธิดาแห่งพระวิศุกรรม เป็นพระชายาของพระสุริยะ
อยู่ด้วยกันจนมีบุตรสามพระองค์ ต่อมาพระนางสังคณาทนแสงพระอาทิตย์ไม่ไหว
จึงหลบหนีไป ยอมให้พระนางฉายาอยู่เป็นชายาแทน เมื่อสลับตัวกันแล้ว
พระสุริยะก็ไม่รู้ว่าชายาของตนสับตัวกัน วันหนึ่งนางฉายาก็เป็นอันหมั่นไส้โกรธพระยม
ซึ่งเป็นหนึ่งในโอรสของพระสุริยะกับพระนางสังคณา นางฉายาจึงกล่าวแช่งพระยม
เมื่อพระยมได้รับผลตามคำสาบแช่งของพระนางฉายา พระสุริยะจึงทราบว่าพระนางไม่ใช่มารดาของพระยม
ไม่ใช่ชายาคนเดิมของพระองค์ ต่อมาภายหลังพระนางฉายาก็มีบุตรกับพระสุริยะ
(พระอาทิตย์) นามว่า พระเสาร์
พราหมณ์ถือกันว่า พระเสาวร์เป็นเทพเจ้าผู้เคราะห์ร้าย บ้างก็ว่าพระเสาร์เป็นเทพที่มีรูปร่างหน้าตาน่าเกลียดน่ากลัว
ผอม หลังค่อม ขาพิการ เหตุที่ขาเขยก เดินกระเผลกนี้มีที่มาดังเรื่องเล่าในคัมภีร์พรหมมาไววรรตะปุราณะ
เมื่อพระคเณศประสูติแล้ว เหล่าเทพเทวดาทั้งหลายได้เข้าเฝ้าพระศิวะ
(อิศวร) กับพระนางอุมาเทวี (ปารวตี) และได้เข้าชมเทวบุตรองค์น้อยนั่นคือพระคเณศ
เทพเทวดาต่างเรียงแถวกันเข้าไปชื่นชมบุตรแห่งพระผู้เป็นเจ้า รวมทั้งพระเสาร์
แต่เมื่อถึงตาพระเสาร์อวยพรพระบุตร พระเสาร์กลับก้มหน้าไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมองพระพิฆเนศ
พระแม่อุมาเทวีจึงตรัสถามว่า เหตุอันใดจึงไม่แลดูบุตรของเรา พระเสาร์ตอบว่า
วันหนึ่งขณะพระเสาร์กำลังนั่งสมาธิเข้าฌาน ตั้งจิตระลึกถึงพระวิษณุมหาเทพแห่งจักรวาล
ซึ่งเป็นเวลาหลายชั่วยาม พระชายาของพระเสาร์ก็เดินเข้ามาหมายจะมาพูดคุยด้วย
แต่พระเสาร์ก็หาได้สนใจไม่ ยังคงนั่งสมาธิไม่ถอนออกจากภวังค์ พระนางจึงกริ้วสาปแช่งไปว่า
"ถ้าพระเสาร์ลืมตามาและเพ่งดูผู้ใด ขอให้ผู้นั้นพินาศ" พระนางจึงไม่สนใจพระเสาร์นับแต่นั้น
พระนางปารวตีได้ฟังเช่นกันก็หาได้สนใจไม่ ยังคงรบเร้าให้พระเสาร์แลดูบุตรอันงดงามแห่งตน
พระเสาร์จึงเชิญพระยมมาเป็นพยานว่า ได้รับการอนุมัติจากพระนางปารวตีแล้ว
จึงเพ่งมองดูพระพิฆเณศวร์
ทันใดนั้นด้วยคำสาปของชายาพระเสาร์ เศียรพระพิฆเนศวรจึงหลุดออกจากบ่าทันที
ลอยไปไกลถึงไวกูณฐ์สวรรค์แห่งพระวิษณุนารายณ์ เมื่อพระวิษณูทราบต้นเหตุแห่งการลอยกระเด็นมาของเศียรเด็กชายนี้
จึงอาสาออกไปยังลำน้ำปุษปภัทร์ ตัดเอาศีรษะของช้างที่นอนหันหัวไปทางทิศตะวันตกอยู่ริมลำน้ำ
มาติดให้ที่บ่าของพระพิฆเนศ (นี่ก็เป็นอีกตำนานหนึ่งเรื่องเศียรช้างของพระคเณศ)
พระศิวะและพระนางอุมาเทวี มีความยินดีประทานพรต่างๆให้กับเหล่าทวยเทพฤาษีชีพราหมณ์ที่มาเข้าเฝ้าอวยพระพรบุตรของตน
ให้ได้รับแต่ความสวัสดีมีชัย เว้นแต่พระเสาร์เท่านั้น ยังถูกพระนางอุมาเทวีสาปแช่งให้เป็นขาเขยกต่อมาอีก
พระเสาร์จึงเป็นเทพผู้อาภัพ อีกทั้งยังเป็นเทพผู้ดุร้ายใจดำ เป็นเทพผู้เคียดแค้น
ตามตำราจึงพรรณาถึงรูปกายของพระเสาร์ว่ามีสีกายดำสนิท นั่งบนหลังพญาแร้ง
บ้างก็บักทึกว่านั่งบนหลังครุฑเป็นพาหนะ ตามตำราของไทยว่าทรงเสือ นัยน์ตาดุร้าย
ขาข้างซ้ายเขยกพิการ ถ้ารูปมี 4 พระกรจะถือคันธนู ศร ทวนและศูล ถ้ารูปที่มี
2 พระกรจะถือไม้เท้ากับแจกัน
หากว่าตามตำราของพระอิศวรมหาเทพ กล่าวถึงพระเสาร์ว่า พระอิศวรผู้เป็นเจ้าได้สร้างพระเสาร์ขึ้นมาจากการนำเอาหัวเสือจำนวน
10 ตัวมาบดให้ป่นละเอียด ห่อด้วยผ้าสีดำ ปลุกเสกด้วยเวทมนต์คาถาอันเข้มขลัง
บังเกิดเป็นพระเสาร์ อุปนิสัยใจคอเช่นเสือโดยธรรมชาติ ดุร้าย แต่ที่ดุร้ายก็เพียงต้องเอาชีวิตให้รอด
จึงมีความพยาบาทร้ายแรง โกรธง่าย ข้อดีของพระเสาร์คือมีความมานะ อดทนต่อสิ่งเลวร้ายรอบข้าง
ปรับตัวให้มีความแข็งแกร่ง จึงฉลาดอย่างลึกซึ้ง ยอมต่อสู้กับศัตรูจนตัวตาย |