ในตำนานเล่าว่า พระศิวะทรงชักชวนพระนารายณ์ปลอมแปลงโฉม
เป็นสามี-ภรรยากันไป ณ ป่าแห่งหนึ่ง เพื่อกำราบเหล่าดาบสที่ไม่ตั้งตนบำเพ็ญตบะ
และบูชาเทพอย่างที่ควร ดาบสกลุ่มนั้นประพฤติตนเหลวไหล
ใฝ่ไปในทางชั่วมากกว่าจะอยู่ในศีลในธรรม
เมื่อทั้ง 2 มหาเทพไปปรากฏตัวในป่านั้น ในฐานะของโยคีหนุ่มกับภรรยาสาว
(พระนารายณ์ทรงปลอมเป็นภรรยาพระศิวะ) เหล่าดาบสผู้มากกิเลสตัณหา
ก็พากันมาเวียนวน เกี้ยวพาราสีสาวงามภรรยาของโยคีหนุ่ม
โดยไม่สนใจหรอกว่านางเป็นผู้มีคู่มีเจ้าของแล้ว บรรดาเมียๆ
ของดาบส ต่างก็ไม่วางตนว่าไม่โสดแล้ว พากันมาให้ท่าทอดสะพานโยคีรูปงามกันมิเว้นวาย
เวลาผ่านไป ก็ไม่มีดาบสผู้ใดพิชิตภรรยาสาวของโยคีได้
ความพิศวาสจึงได้กลายเป็นความเคืองแค้น เหล่าดาบสจึงพากันสาปแช่งโยคีและเมียรักให้มีอันเป็นไป
แต่ทว่าคำสาปนั้นหลับไม่เกิดผลใดๆทั้งสิ้น พวกดาบสนั้นไม่อาจล่วงรู้ได้ว่า
โยคีนั้นคือพระศิวะและภรรยานั้นคือพระนารายณ์ อิทธิฤทธิ์เวทมนตร์ใดๆ
ก็มิอาจกล้ำกรายผู้เป็นเทวะได้แน่นอน แต่ด้วยความไม่รู้นั้น
จึงยังทำพวกดาบสกำเริบเสิบสานต่อไป
พวกดาบสส่งยักษ์ชื่อมุยะละกะมาปราบ พระศิวะก็ทรงสำแดงฤทธิ์เดช
ใช้เท้าข้างหนึ่งเหยียบอกยักษ์ไว้ แล้วก็ทรงร่ายรำไปในลีลาอันวิจิตรพิสดารยิ่งนัก
บรรดาดาบสทั้งหลายจึงยอมศิโรราบ กราบขอขมาต่อพระศิวะโดยดี
เมื่อได้ตระหนักว่าตนกำลังอหังการกับมหาเทพเสียแล้ว |
ศิวะนาฏราช ปางสำคัญแห่งพระศิวะ
ผู้มีลีลาการรำบำฟ้อน อันงดงามและวิจิตรพิศดาร
นับว่าเป็นปางที่มีอิทธิพลต่อสรรพชีวิตเป็นอย่างมาก
ณ เทวาลัยในเมืองจิทัมพรัม ได้มีรูปพระศิวะในท่าร่ายรำต่างๆถึง
108 รูปด้วยกัน บรรดาผู้ที่สักการะบูชาพระศิวะมักจะไปบูชาพระศิวะ
ณ เทวาลัยแห่งนั้นเป็นจำนวนมากในแต่ละปี |