พระราหู
(พระประจำวันพุธกลางคืน)
พระราชนิพนธ์ในสมเด็จพระมหาธีรราชเจ้า
พระราหู ว่าเป็นโอรสพระพฤหัสบดีกับนางสิงหิกา ตามความนิยมกันว่าพระราหูอมพระอาทิตย์และพระจันทร์ในเวลาอุปราคานั้นมีเรื่องเล่ามาว่า
เดิมพระราหูเป็นอสูร แต่เมื่อเวลากวนน้ำอมฤตนั้นได้แปลงรูปเป็นเทวดา
พระอาทิตย์กับพระจันทร์ซึ่งนั่งอยู่ด้วยกันได้ท้วงแก่พระนารายณ์ว่า
มีอสูรอีก 1 ตนได้กินน้ำอมฤตแล้ว พระนารายณ์จึงตัดเศียรอสูรนั้นเพื่อลงอาญา
แต่อสูรนั้นได้น้ำอมฤตแล้ว เพราะฉะนั้นทั้งเศียรทั้งกายก็มิได้ตาย
พระนารายณ์จึงตัดนามภาคเศียรว่า ราหู ให้อยู่ทางที่ลับแห่งจันทรโคจร
ตั้งนามกายภาคว่า เกตุ ให้อยู่ทางที่แจ้งแห่งจันทรโคจร กับอนุญาตว่าเพื่อแก้แค้น
ให้ราหูมีเวลาได้เข้าใกล้พระอาทิตย์ พระจันทร์ และกระทำให้มัวหม่น
ร่างกายซูบผอมคลำไป
พระราหู ตามตำรับโหราศาสตร์
โดย "ศรีมหาโพธิ์"
สมัยหนึ่ง พระเสาร์กำเนิดมาเป็นพญานาครักษามหาสมุทร พระอาทิตย์ได้กำเนิดมาเป็นพญาครุฑ
รักษาเขาสัตนาปริพันธ์ พระพฤหัสบดีกำเนิดมาเป็นพระอินทร์ มีหน้าที่รักษาเขาพระสุเมรุ
วันหนึ่ง พญาครุฑเกิดอยากกินพญานาค จึงตรงไปไล่จับเพื่อกินเป็นอาหาร
พญานาคสู้จนสุดฤทธิ์ แต่แพ้พลังของพญาครุฑ จึงรีบหนีไปพึ่งใบบุญของพระราหู
พญาครุฑมีฤทธิ์น้อย ก็แพ้พระราหู พญาครุฑจึงหนีไปพึ่งพระอินทร์ ระหว่างนั้นพระราหูซึ่งกำลังไล่ล่าพญาครุฑ
บังเอิญเหลือบไปเห็นน้ำอมฤต ด้วยความกระหายจึงยกขึ้นดื่ม
ฝ่ายพระอินทร์เห็นพระราหูทำล่วงเกิน ไม่รู้ที่ต่ำที่สูง บันดาลโทสะ
จึงขว้างจักรเพชรเข้าใส่ร่างพระราหู ร่างขาดเป็น 2 ท่อน แต่ไม่ตายเพราะได้น้ำอมฤตมาก่อนนั้น
เทวรูปหรือรูปภาพพระราหู มักทำเป็นรูปมนุษย์หน้าดุร้ายเป็นยักษ์ กำลังอมพระจันทร์หรือพระอาทิตย์
มี 2 แขน ถือดาบและโล่หรือทวน
อีกตำนานคือ พระราหูเกิดจากพระศิวะมหาเทพ (พระอิศวร) สร้างขึ้นด้วยการนำเอาหัวกะโหลกของผีโขมดไพรจำนวน
12 หัว มาบดให้ป่น ห่อด้วยผ้าสีดำ แล้วประพรมด้วยน้ำอมฤต ปลุกเสกให้มีชีวิตขึ้นด้วยเวทย์มนต์
หัวผีโขมดป่นในห่อผ้านั้นจึงเกิดเป็นราหูขึ้นมา พระราหูจึงมีกำลังพระเคราะห์เป็น
12 เนื่องด้วยถูกสร้างขึ้นมาจากกระโหลกจำนวน 12 หัวนั่นเอง
พระราหูอมพระอาทิตย์
โดย พลตำรวจโท สรรเพชญ ธรรมาธิกุล
อดีตผู้บัญชาการประจำสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
ในวิชาดาราศาสตร์ถือว่า โลก เป็นดาวพระเคราะห์ดวงหนึ่งในระบบสุริยะจักรวาล
เงามืดของโลกที่ไม่ได้รับแสงสว่างจากดวงอาทิตย์ เรียกว่าพระราหู เช่นเดียวกับดาวเคราะห์ดวงอื่น
แต่วิชาโหราศาสตร์โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาคพยากรณ์ถือว่า โลก คือ พระราหู
เป็นศูนย์กลางของจักรวาลระบบจันทรคติ ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดาวเคราะห์
ดาวฤกษ์ ดาวหาง ต่างเป็นบริวารต้องโคจรรอบโลกอยู่ตลอดเวลา อันเป็นที่มาของความเชื่อในเรื่อง
พระราหูเทวบุตร มีฤทธิ์เดชไม่ยิ่งหย่อนกว่าเทวดาองค์ใดในสวรรค์ และตำนานการขโมยดื่มน้ำอมฤตของพวกเทวดา
จนถูกจักรของพระนารายณ์กายขาดเป็น 2 ท่อน ล่องลอยอยู่ในชั้นฟ้า ท่อนหนึ่งเรียกว่า
พระราหู คอยไล่จับพระอาทิตย์และพระจันทร์กลืนกิน แสดงให้เห็นถึงการค้นพบความลับของธรรมชาติมานานแสนนาน
แต่ปกปิดซ่อนไว้ในรูปนิทานปรัมปรา ถ้าไม่ศึกษาค้นคว้าพิจารณาให้ถ่องแท้
ก็จะกลายเป็นความเชื่อที่งมงายไร้เหตุผล และไม่มีทางจะเข้าถึงศาสตร์ชั้นสูงอีกระดับหนึ่ง
ที่เรียกว่า ญาณศาสตร์ ซึ่งเชื่อกันว่าถ้าบรรลุชั้นใดชั้นหนึ่ง ก็สามารถแสดงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ได้
ใครสำเร็จญาณชั้นที่ 8 ย่อมตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า หรือพระโพธิสัตว์
ดังนั้นก่อนที่จะไปถึงขั้นสำเร็จในระดับญาณศาสตร์ จำเป็นที่จะต้องเรียนรู้และเข้าใจ
คุณสมบัติของระบบธาตุในโลก ระบบธาตุบนชั้นบรรยากาศและระบบจักรวาล หรือทฤษฎีการหมุนเวียนไปรอบจุดศูนย์กลาง
ซึ่งในทางวิทยาศาสตร์พิสูจน์ให้เห็นว่าเป็นบ่อเกิดของพลังศักดิ์สิทธิ์ของแม่เหล็กไฟฟ้า
จนถึงการสร้างระเบิดมหาประลัย จึงต้องเข้าใจในเรื่องพระราหู ให้ถูกต้องตามหลักธรรมชาติเสียก่อน
ต่อจากนั้นจึงพยายามเรียนรู้เรื่อง หางพระราหู
แท้จริงแล้วโลกของเราภาคกลางวันได้รับแสงอาทิตย์อันร้อนแรง แผดเผาจนวัตถุธาตุบนพื้นผิวโลกละลายกลายเป็นไอระเหยระเหิดลอยขึ้นไปในอากาศ
ดังจะเห็นได้จากละอองไอน้ำลอยฟ่องในหมอกเมฆ ควันไฟ หรือสิ่งที่มองไม่เห็นนานาชนิด
ฝุ่นละออง ธาตุของโลกที่ล่องลอยขึ้นไปในชั้นฟ้า มิได้หลุดลอยไปนอกโลก
แต่ขึ้นไปสถิตอยู่บนชั้นบรรยากาศสะสมเพิ่มมากขึ้นทุกวัน อันเป็นที่มาของระบบดินน้ำลมไฟในชั้นบรรยากาศ
ที่วิชาโหราศาสตร์เรียกว่า นวางค์ หรือ ตรียางค์ หรือความเชื่อในเรื่องเทวดามีวิมานอยู่บนสวรรค์
ดังนี้เป็นต้น การค้นพบความสำคัญของระบบชั้นบรรยากาศธาตุที่หุ้มห่อโลกไว้
คอยปรับสภาพอุณหภูมิบนพื้นผิวโลกให้เหมาะสมสำหรับเกิดสิ่งมีชีวิตขึ้นในโลก
สืบพันธุ์กันไปไม่ขาดสายนี่เอง ตำนานชาติเวรของดวงดาวจึงบอกว่า พระราหู
ถูกจักรพระนารายณ์ กายขาดเป็น 2 ท่อน แต่ไม่ตายเพราะดื่มน้ำอมฤตของเทวดา
คือรากฐานการเกิดสรรพสิ่งในโลกโดยมีเหตุอ้างอิงและปฏิเสธเรื่องพระเจ้าอย่างสิ้นเชิง
กล่าวกันว่าระบบโลกธาตุที่ถูกแสงอาทิตย์เผาไหม้ ลอยขึ้นไปบนชั้นบรรยากาศนั้น
ถูกแรงเหวี่ยงของโลกซึ่งหมุนรอบตัวเองและโคจรไปรอบดวงอาทิตย์กดดันควบคุมให้วนเวียน
มีลักษณะเป็นเกลียวส่ายไปมาในอากาศ แต่ดวงตาของเรามองไม่เห็น เรียกกันว่า
พระเกตุ อยู่ตรงข้ามกับพระราหู เพราะเป็นเรื่องราวของโลกในภาคกลางวัน
เช่นเดียวกับธรรมชาติในโลกที่คนเราต้องทำงาน หาอาหารจนค่ำมืดจึงพักผ่อนนอนหลับไปในภาคกลางคืน
หากเข้าใจธรรมชาติของพระเกตุ หรือหางพระราหู ว่าโลกในภาคกลางวันคลื่นพลังแสงและความร้อนของดวงอาทิตย์
สร้างระบบธาตุให้แก่ชั้นบรรยากาศธาตุ เพื่อให้ดวงจันทร์ทำหน้าที่กลั่นกลองผสมธาตุบนชั้นฟ้าในเวลากลางคืน
ต่อจากนั้นค่อยส่งแรงดึงดูดร่วมกับโลกแย่งชิงระบบธาตุบนชั้นบรรยากาศป้อนให้แก่โลก
ปรุงแต่งแปลงสภาพกลายเป็นธรรมชาติขึ้นในโลก ด้วยเหตุนี้ในภาคกลางวันโลกจำต้องพึ่งพาอาศัยแสงอาทิตย์
ในภาคกลางคืนโลกจำต้องพึ่งพาอาศัยแสงจันทร์ อานุภาพของแสงอาทิตย์แสงจันทร์และระบบธาตุนี่เอง
คือรากฐานการกำเนิดสรรพสิ่งขึ้นในโลก นักโหราศาสตร์จึงสรุปกลไกอันซับซ้อนของความสัมพันธ์นี้ว่า
"อาทิตย์เป็นพ่อ จันทร์เป็นแม่ ราหูเป็นลูก"
ดังนั้นตราบใดที่โลกยังเป็นแหล่งกำเนิดของสิ่งมีชีวิตและธรรมชาติ
ตราบนั้นโลกยังต้องพึ่งพาอาศัยแสงอาทิตย์ แสงจันทร์ เพื่อปรุงแต่งแปลงสภาพระบบธาตุให้เกิดสิ่งทั้งหลายขึ้นในโลก
ชาวศรีวิชัยจึงสร้างสัญลักษณ์พระราหูอมจันทร์ขึ้นเพื่อแสดงให้เห็นถึงความรู้
ความเข้าใจในจักรวาลทั้งระบบสุริยคติ และระบบจันทรคติอย่างแจ่มแจ้ง
สามารถอธิบายให้เห็นถึงการหมุนเวียนเปลี่ยนแปลงของวัฏจักร และวงจรชีวิต
ทั้งแสดงให้เห็นว่าเหตุใดพราหมณ์จึงนับถือ ศิวลึงค์ และโยนีของพระแม่อุมาเทวี
ก็เพราะว่าเขารู้เรื่องจักรวาลเป็นอย่างดี จึงแปลงสัญลักษณ์ของธรรมชาติเป็นเพศชายหญิงอันเป็นบรรพบุรุษของตนขึ้นกราบไหว้บูชา
แต่หลักการอันเร้นลับถูกปกปิดไว้จนสำคัญผิดคิดว่าเป็นปรากฏการณ์ สุริยุปราคา
และจันทรุปราคา ซึ่งเป็นคนละเรื่องกัน แม้กระทั่งพระไตรปิฎกที่อ้างว่าผ่านการสังคายนากันมาหลายครั้ง
ก็ยังจารึกเรื่องนี้ไว้อย่างไม่ถูกต้อง
ในที่นี้พระราหูอมจันทร์ แท้จริงแล้วเป็นภาพเชิงซ้อนของภาพพระราหูอมพระอาทิตย์กับภาพพระราหูอมพระจันทร์
ทับอยู่ในภาพเดียวกัน เพื่อแสดงให้เห็นว่า โลก คือ พระราหู จำเป็นต้องได้รับแสงจากดวงอาทิตย์ในตอนกลางวัน
ได้รับแสงจากดวงจันทร์ในตอนกลางคืน โลกจึงบังเกิดสิ่งที่เรียกว่า ธรรมชาติ
การเรียนรู้ธรรมชาติทำให้เราทราบถึงฤดูกาลและบังเกิดอารยธรรมอันสูงส่งขึ้นในโลก
อย่างน้อยชาวนาชาวสวนก็รู้ว่าเมื่อไรจะถึงเวลาไถนาปักดำข้าวกล้า ควรเก็บเกี่ยวเมื่อไร
ชาวทะเลทราบว่าเมื่อไรจะเกิดลมมรสุมไม่ควรนำเรือออกไปในทะเล หรือในปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์นำวิชาความรู้มาสร้างสรรค์สิ่งมหัศจรรย์ได้อย่างไม่น่าเชื่อ
เพราะว่า พระราหู ไม่ใช่ยักษ์มารผีโขมดหรือความชั่วร้ายดังที่เข้าใจกันมา
แต่พระราหูเป็นโลกของเรา เป็นดาวเคราะห์เพียงดวงเดียวที่มีสิ่งมีชีวิตอาศัยสืบพันธุ์กันไปไม่มีที่สิ้นสุด
สมดังคำกล่าวว่า พระราหู ได้กินน้ำอมฤตจึงไม่ตายเป็นอมตะและมีฤทธิ์จนเทวดาฟ้าดินยำเกรง
เรียบเรียงโดย
พลตำรวจโท สรรเพชญ ธรรมาธิกุล
อดีตผู้บัญชาการประจำสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
-------------
พระราหู ตามคติพราหมณ์-ฮินดู ขี่สิงห์เป็นพาหนะ
พระราหู ตามคติพุทธ-ไทย ขี่ครุฑเป็นพาหนะ
พระราหูไปกินพระอาทิตย์ เรียกว่า สุริยุปราคา (สุริยคราส)
พระราหูไปกินพระจันทร์ เรียกว่า จันทรุปราคา (จันทรคราส)
พระราหูเป็นเทพองค์ที่ 8 ของ "นวนพเคราะห์"
|