มหามณเฑียร หรือเทวาลัยหลังปัจจุบันของวัดวิษณุ ยานนาวา สร้างเมื่อ
พ.ศ. ๒๕๐๘
เมื่อเอ่ยถึงชื่อ "วัดวิษณุ" เทวาลัยฮินดูในย่านยานนาวา
คนกรุงเทพฯ หลายคนอาจจะไม่คุ้นเคยเท่ากับ "วัดแขก"
ถนนสีลม หรือ "วิหารเทพมณเฑียร" ย่านเสาชิงช้า แต่หากศึกษาถึงต้นรากทางวัฒนธรรมและพัฒนาการทางประวัติศาสตร์
จะพบว่า "วัดวิษณุ" คือองคาพยพสำคัญที่สะท้อนภาพความสัมพันธ์ไทย-อินเดียได้อย่างแนบแน่นและกลม
เกลียว เนื่องจากวัดวิษณุถือเป็นศูนย์กลางของชุมชนชาวฮินดูจากรัฐอุตตรประเทศ
(อินเดียเหนือ) ในเขตกรุงเทพมหานคร ตลอดจนได้รับการยกย่องว่าเป็นเทวาลัยที่มีความโดดเด่นในภูมิภาคอุษาคเนย์
เนื่องจากเป็นที่ประดิษฐานรูปเทพเจ้าฮินดูสลักจากหินอ่อนซึ่งมีลักษณะงดงาม
ได้สัดส่วนถึง ๒๔ องค์1 ความสำคัญของวัดวิษณุส่งผลให้การศึกษาปฏิสัมพันธ์ระหว่างไทยกับอินเดียผ่าน
มิติชุมชนอันสัมพันธ์กับประวัติศาสตร์ท้องถิ่น และประวัติศาสตร์การทูต
กลายมาเป็นประเด็นที่มีสีสัน ตลอดจนยังเป็นการเปิดมุมมองใหม่ทางด้านพหุลักษณ์เชิงวัฒนธรรม
(Cultural Diversity) ให้กับสังคมไทยยุคปัจจุบัน
อุตตรประเทศ: ดินแดนหัวใจแห่งอารยธรรมภารตะ
การศึกษาประวัติความเป็นมาของวัดวิษณุและการอพยพของชาวอินเดียเหนือ
เข้าสู่สังคมไทย จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องเข้าใจถึงความสำคัญของอุตตรประเทศในบริบทและโลกทัศน์
ของชาวอินเดีย คำว่า "อุตตรประเทศ" (Uttar Pradesh)
คือชื่อของรัฐและเขตการปกครองที่ตั้งอยู่ทางตอนบนของประเทศอินเดียโดยมี
อาณาเขตทางทิศเหนือติดต่อกับรัฐหิมาจัลประเทศ (Himachal Pradesh)
รัฐอุตตรรันจัล (Uttaranchal) และประเทศเนปาล ทิศตะวันตกติดกับรัฐหรยาณา
(Haryana) และรัฐราชสถาน (Rajasthan) ทิศใต้ติดต่อกับรัฐมัธยประเทศ
(Madhya Pradesh) ทิศตะวันออกติดต่อกับรัฐพิหาร (Bihar) และทิศตะวันออกเฉียงใต้ติดต่อกับรัฐชาดติสการ์
(Chhattisgarh) และรัฐจาร์คาน (Jharkhand)
ลักษณะภูมิประเทศอันเกิดจากการทับถมของตะกอนแม่น้ำคงคาและยมุนา
ผสมผสานกับแนวเทือกเขาหิมาลัยที่ตั้งตระหง่าน ส่งผลให้อุตตรประเทศกลายเป็นแหล่งเพาะปลูกและแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่
มีชื่อเสียงของประเทศอินเดีย
ขณะเดียวกัน ประติมากรรมทางภูมิศาสตร์และความอุดมสมบูรณ์ของผืนดินก็ส่งผลให้อุตตรประเทศ
กลายเป็นดินแดนหัวใจแห่งการรังสรรค์ทางศิลปะ ตลอดจนเป็นต้นรากทางอารยธรรมของชาวฮินดูยุคโบราณ
สังเกตได้จากการแพร่กระจายของศิลปะแบบคันธาระ (Gandhara) มถุรา
(Mathura) อมราวดี (Amaravati) คุปตะ (Gupta) และปาละ-เสนะ (Pala-Sena)
ในเขตแว่นแคว้นอุตตรประเทศ2 ประกอบกับการขยายตัวทางการเมืองและการทหารของรัฐฮินดูยุคจารีต
ไม่ว่าจะเป็นราชวงศ์โมริยะ (Mauryan) ราชวงศ์กาศี (Kashi) และราชวงศ์คุปตะ
(Gupta) ก็ล้วนมีขอบข่ายปริมณฑลแห่งอำนาจครอบคลุมอินเดียตอนเหนือในเขตลุ่มแม่น้ำคง
คาและยมุนา
นอกจากนี้ อุตตรประเทศยังเป็นที่ตั้งของเมืองพาราณสี (Varanasi)
ซึ่งมีอายุเก่าแก่กว่าสามพันปี และเป็นต้นกำเนิดของประเพณีลอยศพและชำระบาปในแม่น้ำคงคาอันศักดิ์สิทธิ์
รวมถึงเป็นศูนย์กลางการจาริกแสวงบุญของชาวฮินดูจากทั่วทุกสารทิศ
ดินแดนอุตตรประเทศยังได้รับการยกย่องว่าเป็นศูนย์กลางของไวษณพ
นิกาย ลัทธิฮินดูที่นับถือพระวิษณุ หรือพระนารายณ์เป็นเทพเจ้าสูงสุด
เห็นได้จากเมืองโบราณที่สัมพันธ์กับภาคอวตารของพระวิษณุ (Avatar
or Vishnu Reincarnation) อาทิ เมืองอโยธยา (Ayodhya) ศูนย์อำนาจการปกครองของท้าวทศรถ
กษัตริย์แห่งสุริยวงศ์ (Solar Dynasty) และสถานที่พระราชสมภพของพระราม
ร่างอวตารภาคที่เจ็ดของพระวิษณุ และวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่แห่งมหากาพย์รามายณะ
เมืองลัคเนา (Lucknow) ซึ่งเคยได้รับการสถาปนาให้เป็นเมืองของพระลักษณ์
พระอนุชาของพระราม และทำหน้าที่เป็นเมืองหลวงของรัฐอุตตรประเทศในยุคปัจจุบัน
เมืองหัสดินปุระ (Hastinapura) ราชธานีของกษัตริย์ศานตนุแห่งจันทวงศ์
(Lunar Dynasty) และเป็นจุดกำเนิดของเหล่าเจ้าชายตระกูลปาณฑพ
(Pandu) และเการพ (Kurus) ในมหากาพย์มหาภารตะ3 และเมืองมถุรา
(Mathura) ซึ่งนอกจากจะเคยเป็นบ่อเกิดของศิลปะแบบมถุราที่แพร่กระจายในเขตอินเดียภาค
เหนือแล้ว ยังเป็นสถานที่พระราชสมภพของพระกฤษณะ ร่างอวตารภาคที่แปดของพระวิษณุ
และมหาบุรุษผู้ขับรถศึกให้พระอรชุนในมหากาพย์มหาภารตะ
จากบริบทดังกล่าว รัฐอุตตรประเทศจึงเป็นอู่อารยธรรมอันเก่าแก่ของโลกฮินดู
ทั้งในแง่ของปฏิสัมพันธ์ทางวัฒนธรรม การขยายปริมณฑลทางการเมือง
และความรุ่งเรืองของวรรณคดีโบราณ นอกจากนี้ ดินแดนของรัฐอุตตรประเทศยังมีส่วนสัมพันธ์กับพระพุทธศาสนาและโลกอิสลาม
เนื่องจากเป็นที่ตั้งของเมืองสารนาถ (Saranaj) และป่าอิสิปตนมฤคทายวัน
สถานที่แสดงปฐมเทศนาของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และเมืองอักรา
(Agra) ศูนย์อำนาจของจักรวรรดิโมกุลอันทรงพลานุภาพ และที่ตั้งของสุสานทัชมาฮาล
- อนุสรณ์แห่งความรัก หนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลก
ดังนั้น อุตตรประเทศจึงเป็นดินแดนหัวใจที่ส่งผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่อการก่อรูปของ
อารยธรรมฮินดู รวมถึงมีส่วนคาบเกี่ยวกับการขยายตัวของอิทธิพลพระพุทธศาสนาในแผ่นดินอุษาคเน
ย์ และกระบวนการผ่องถ่ายอารยธรรมอิสลามในชมพูทวีป
ห้องโถงของมหามณเฑียรบนชั้นสอง ประดิษฐานเทวรูปหินอ่อนจากเมืองชัยปุระ
การอพยพและตั้งถิ่นฐานของชาวอุตตรประเทศในเขตกรุงเทพมหานคร
กระบวนการอพยพของชาวฮินดูเข้าสู่เขตกรุงเทพมหานครเริ่มก่อตัวขึ้น
พร้อมกับการขยายตัวของลัทธิอาณานิคมอังกฤษในเขตประเทศอินเดียและภูมิภาค
เอเชียอาคเนย์
ประมาณต้นพุทธศตวรรษที่ ๒๓ จนถึงปลายพุทธศตวรรษที่ ๒๔ กองทัพของบริษัทอินเดียตะวันออกของอังกฤษได้ยาตราทัพเข้ายึดเมืองท่ากัลกัต
ตา (Calcutta) หลังประสบชัยชนะสงครามที่ตำบลปรัสซี (Battle of
Plassey) เมื่อปี พ.ศ. ๒๓๐๐4 การครอบครองเมืองกัลกัตตาซึ่งตั้งอยู่ริมปากแม่น้ำฮูกลี
(Hugli) อันเป็นสาขาหนึ่งของแม่น้ำคงคา นอกจากจะทำให้อังกฤษสามารถควบคุมการค้าในรัฐเบงกอลได้สะดวกแล้ว
ยังส่งผลให้อำนาจการปกครองของอังกฤษแผ่อิทธิพลเข้าปกคลุมหัวเมืองต่างๆ
ในเขตลุ่มแม่น้ำคงคาแถบรัฐอุตตรประเทศ
ต่อมา รัฐบาลอังกฤษได้ออกพระราชบัญญัติว่าด้วยการปกครองอินเดียฉบับปี
พ.ศ. ๒๓๑๖ เพื่อเพิ่มอำนาจของรัฐบาลในการควบคุมพฤติกรรมของบริษัทอินเดียตะวันออก
ตลอดจนแต่งตั้งนายวอร์เรน เฮสติงส์ (Warren Hastings) ขึ้นเป็นข้าหลวงใหญ่อังกฤษคนแรกประจำอินเดีย
เมื่อปี พ.ศ. ๒๓๑๗5
การเปลี่ยนแปลงนโยบายของอังกฤษส่งผลให้เมืองท่าชายฝั่ง ทะเลและหัวเมืองตอนในแถบรัฐอุตตรประเทศตกอยู่ภายใต้การปกครองของอังกฤษแบบ
เต็มตัว ครั้นต่อมา บริษัทอินเดียตะวันออกของอังกฤษได้ว่าจ้างชาวพื้นเมืองอินเดียมาฝึกเป็นทหาร
ตามแบบตะวันตก เรียกว่า ทหารซีปอย (Sepoys) เพื่อรักษาความปลอดภัยและพิทักษ์ผลประโยชน์ทางการค้าให้บริษัท
แต่นโยบายดังกล่าวกลับส่งผลกระทบเชิงลบต่ออังกฤษ เนื่องจากกำลังพลส่วนใหญ่ของทหารซีปอยล้วนมาจากพราหมณ์และชนชั้นสูงในเขตอุ
ตตรประเทศ ทหารเหล่านี้เคยชินต่อการมีสิทธิพิเศษตามระบบวรรณะ
และหวาดระแวงต่อพฤติกรรมของอังกฤษที่นำเอาวัฒนธรรมตะวันตกและคริสต์ศาสนา
เข้ามาครอบงำวัฒนธรรมฮินดู6
นอกจากนี้ พวกพราหมณ์อุตตรประเทศที่สูญเสียผลประโยชน์จากการดำเนินนโยบายของอังกฤษ
อาทิเช่น การอนุญาตให้บาทหลวงบางรูปแสดงอาการเหยียดหยามศาสนาฮินดู
และการประกาศเวนคืนที่ดินซึ่งเคยอยู่ในการครอบครองของวรรณะพราหมณ์
ยังได้คอยยุยงให้กลุ่มทหารซีปอยแข็งข้อต่อต้านอำนาจการปกครองของอังกฤษ
จนในที่สุด การก่อกบฎได้เริ่มปะทุขึ้นระหว่างปี พ.ศ.
๒๔๐๐ - ๒๔๐๒
เหตุการณ์ส่วนใหญ่ล้วนเกิดขึ้นในรัฐอุตตรประเทศ โดยเฉพาะที่เมืองมีรุต
(Meerut) และลัคเนา (Lucknow) จากเหตุการณ์ดังกล่าว อังกฤษได้เพิ่มงบประมาณทางการทหาร
ว่าจ้างแขกสิกข์และนักรบกูรข่าเข้ามาเป็นทหารรับจ้าง เพื่อปราบกบฏซีปอย
ส่งผลให้อังกฤษประสบความสำเร็จในการนำอินเดียกลับคืนสู่สภาวะปกติ
ผลของกบฏซีปอยทำให้อังกฤษประกาศยกเลิกการปกครองของบริษัทอินเดีย
ตะวันออก และโอนหน้าที่ความรับผิดชอบทั้งหมดมาเป็นของรัฐบาลกลางและรัฐสภา
รวมถึงปรับโครงสร้างกำลังรบของกองทัพ เลิกจ้างพราหมณ์อุตตรประเทศ
แล้วหันมาจ้างพวกแขกสิกข์ แขกปาธาน และพวกนักรบกูรข่าจากเนปาลเข้ามาเป็นทหารประจำการแทน7
ช่วงเวลาดังกล่าวเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ชนชั้นสูงในอุตตรประเทศ
เริ่มร่วมมือกับชาวฮินดูกลุ่มต่างๆ จัดตั้งขบวนการเรียกร้องเอกราชจากอังกฤษ
ระหว่างช่วงสงครามโลกครั้งที่ ๑ จนถึงปลายสงครามโลกครั้งที่
๒ ตลอดจนเริ่มเกิดการอพยพของชาวฮินดูอุตตรประเทศไปยังดินแดนต่างๆ
อาทิเช่นตะวันออกกลาง แอฟริกา และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อปลุกระดมลัทธิชาตินิยมและสร้างฐานที่มั่นในการปลดแอกอินเดียออกจาก
อาณานิคมอังกฤษ
ขณะเดียวกัน พราหมณ์อุตตรประเทศที่เคยรับราชการเป็นทหารซีปอยก็ปรับเปลี่ยนบทบาทและแปลง
สภาพเป็นกองกำลังกู้เอกราช รวมถึงเดินทางออกจากอินเดียเพื่อประกอบอาชีพเป็นพนักงานรักษาความปลอดภัยใน
บริษัทต่างประเทศ สืบเนื่องจากลักษณะร่างกายที่กำยำและสูงใหญ่
ผสมผสานกับประสบการณ์จากการเป็นทหารซีปอย ทำให้บริษัทเอกชนในประเทศต่างๆ
นิยมว่าจ้างแขกอุตตรประเทศเข้ามาพิทักษ์ทรัพย์สินและรักษาความปลอดภัย
การอพยพของชาวอุตตรประเทศเข้าสู่ประเทศไทยนั้น จัดว่ามีความเชื่อมโยงอย่างลึกซึ้งกับขบวนการชาตินิยมและการแสวงหาที่ทำกิน
ในต่างแดน อันเป็นผลมาจากสภาวะข้าวยากหมากแพงและปัญหาการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของ
ประชากรในอินเดีย
ชาวอุตตรประเทศส่วนใหญ่มักมีจุดหมายปลายทางอยู่ที่กรุงเทพมหานคร
เนื่องจากเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจและการค้าระหว่างประเทศ รวมถึงเป็นศูนย์อำนาจที่ปลอดจากอิทธิพลของอังกฤษ
เมื่อเทียบกับกรุงย่างกุ้งของพม่า หรือสิงคโปร์ในคาบสมุทรมลายู
ขณะเดียวกัน การอพยพของแขกอุตตรประเทศก็มีลักษณะปะปนมากับแขกฮินดูกลุ่มอื่นๆ
ไม่ว่าจะเป็นเบงกอล ทมิฬ สิกข์ และราชปุต ซึ่งเริ่มไม่พอใจการปกครองที่เข้มงวดของรัฐบาลอังกฤษ
เส้นทางการอพยพของแขกฮินดูเข้าสู่เขตกรุงเทพมหานครสามารถแบ่งออก
ได้เป็นสองกลุ่มหลัก ได้แก่เส้นทางอพยพทางทะเลผ่านหมู่เกาะอันดามันและนิโคบาร์
ตัดเข้าสู่สิงคโปร์ มะละกา (Melaka) มาเลเซีย จากนั้นเดินทางโดยรถไฟเข้าสู่ภาคใต้ของไทยและกรุงเทพมหานคร
ส่วนเส้นทางสายที่สองเป็นการอพยพทางบก เริ่มจากอินเดียเข้าสู่จิตตะกอง
(Chittagong) ในบังคลาเทศ จากนั้นจึงเดินทางโดยรถไฟเข้าสู่ประเทศพม่าและภาคเหนือของไทย
แล้วจึงลงใต้เข้าสู่กรุงเทพฯ8
กลุ่มผู้อพยพชาวฮินดูนั้นมีความหลากหลาย แบ่งออกได้เป็นห้ากลุ่มหลักดังนี้
๑) กลุ่มชาวฮินดูจากอุตตรประเทศทางตอนเหนือของอินเดีย ประชากรส่วนใหญ่อพยพมาจากเมืองลัคเนา
อโยธยา และพาราณสี มักประกอบอาชีพส่งหนังสือพิมพ์ ขายนมวัว และพนักงานรักษาความปลอดภัยในบริษัทต่างประเทศ
อาทิ บริษัทอีสต์เอเชียติก (East Asiatic Company) ลักษณะเด่นของชาวฮินดูอุตตรประเทศ
คือการนับถือพระวิษณุ โดยมีการจัดตั้งชุมชนในเขตสาทรและยานนาวา
ตลอดจนจัดสร้างวัดวิษณุ เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๕๘ เพื่อเป็นศูนย์รวมของชาวอินเดียเหนือในเขตกรุงเทพมหานคร9
๒) กลุ่มชาวฮินดูจากทมิฬนาฑู (Tamil Nadu) อพยพมาจากตอนใต้ของอินเดีย
และทางตอนเหนือของศรีลังกาแถวคาบสมุทรจาฟนา ส่วนใหญ่มักประกอบอาชีพเป็นครูสอนภาษาอังกฤษ
พนักงานบริษัทต่างประเทศ และค้าขายทั่วไป ลักษณะเด่นของกลุ่มแขกทมิฬคือการบูชาพระศิวะและพระอุมาอย่างเหนียวแน่น
จนนำไปสู่การสร้างวัดพระศรีมหาอุมาเทวี หรือที่รู้จักกันดีว่า
วัดแขกสีลม ในปี พ.ศ. ๒๔๓๘ เพื่อเป็นศูนย์กลางทางศาสนาและการประกอบกิจกรรมของชาวฮินดูจากอินเดียใต้10
๓) กลุ่มชาวฮินดูจากแคว้นซินด์ (Sind) และปัญจาบ (Punjab) ซึ่งเข้ามาประกอบธุรกิจทอผ้าและนำเข้าส่งออกผลิตภัณฑ์สิ่งทอ
ชาวอินเดียกลุ่มดังกล่าวมักตั้งถิ่นฐานอยู่แถวสำเพ็งและพาหุรัดโดยถึงแม้ว่า
ประชากรส่วนใหญ่จะนับถือศาสนาสิกข์และมีศูนย์กลางอยู่ที่คุรุสิงหสภาในย่าน
พาหุรัด แต่ก็มีชาวอินเดียบางกลุ่มนับถือศาสนาฮินดู และแยกตัวออกมาจัดตั้งวิหารเทพมณเฑียร
ถนนศิริพงศ์ เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๘๒ เพื่อเป็นศูนย์กลางของชาวฮินดูจากรัฐซินด์และปัญจาบ11
๔) กลุ่มชาวฮินดูจากคุชราต (Gujarat) และราชสถาน (Rajasthan)
มักประกอบอาชีพค้าขาย ส่งออก และเจียระไนอัญมณี ตั้งถิ่นฐานอยู่แถวถนนสีลมและสาทร
กลุ่มนี้ถือว่ามีบทบาทสำคัญในสมัยอาณานิคมและช่วงสงครามโลกครั้งที่
๒ เนื่องจากทำหน้าที่เป็นตัวกลางเชื่อมต่อทางการค้าระหว่างไทย
อินเดีย และตะวันออกกลาง12
๕) กลุ่มชาวฮินดูจากเบงกอล อพยพมาจากเมืองกัลกัตตาของอินเดีย
เมืองธาร์กา (Dhaka) และจิตตะกองในบังคลาเทศตั้งแต่สมัยอาณานิคมอังกฤษ
ประชากรส่วนใหญ่ประกอบอาชีพขายถั่ว เครื่องเทศ และเครื่องหอมบูชาเทพเจ้า
กลุ่มแขกเบงกอลมักนับถือศาสนาอิสลามแต่ก็มีบางส่วนนับถือศาสนาฮินดู
อพยพเข้ามาอาศัยอยู่กับแขกทมิฬในย่านวัดแขกและถนนสีลม13
ในระยะเริ่มแรก การตั้งถิ่นฐานของชาวฮินดูกลุ่มต่างๆ มักกระจุกตัวอยู่ในบริเวณชุมชนแออัดและย่านธุรกิจสำคัญในเขตกรุงเทพมหานคร
อาทิเช่น สีลม พาหุรัด และยานนาวา แขกอุตตรประเทศนั้นพำนักอาศัยอยู่ร่วมกับกับแขกทมิฬแถววัดพระศรีมหาอุมาเทวี
ขณะที่บางส่วนกระจัดกระจายอยู่ตามบ้านพักของบริษัทต่างประเทศแถบสาทรและ
ยานนาวา
ต่อมา การตั้งถิ่นฐานของชาวอุตตรประเทศแถวถนนสีลมได้ขยายตัวอย่างรวดเร็ว
ประกอบกับความแตกต่างระหว่างไวษณพนิกายของชาวอินเดียเหนือกับไศวนิกายและ
ศักตินิกายของชาวอินเดียใต้ ส่งผลให้ชาวฮินดูอุตตรประเทศตัดสินใจสร้างเทวาลัยวัดวิษณุบริเวณยานนาวา
เพื่อเป็นศูนย์กลางการประกอบพิธีกรรม ตลอดจนลดปัญหาความแออัดของประชากรบริเวณวัดแขก
หลังจากการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างราชอาณาจักรไทย
และสาธารณรัฐอินเดีย เมื่อวันที่ ๓๐ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๙๐ การตั้งถิ่นฐานของชาวอุตตรประเทศและชุมชนฮินดูกลุ่มอื่นๆ
ได้ขยายตัวอย่างรวดเร็ว สืบเนื่องจากยกระดับความสัมพันธ์ทางการทูต
การเปิดเสรีทางเศรษฐกิจ รวมถึงการอพยพเข้ามาค้าขายและศึกษาเล่าเรียนของชาวฮินดูตามคำเชื้อเชิญของ
ญาติพี่น้องในเมืองไทย
ปัจจุบันมีชาวฮินดูตั้งหลักแหล่งอยู่แถวถนนสีลม สาทร ยานนาวา
พาหุรัด สี่แยกบ้านแขก และถนนสุขุมวิท ตั้งแต่ซอย ๑ ถึง ๘๑ (แต่ละซอยประกอบด้วยชุมชนชาวฮินดูประมาณ
๕ ๑๐ ครัวเรือน)14
ลักษณะการตั้งถิ่นฐานของชาวอุตตรประเทศและความโดดเด่นของวัดวิษณุนั้นจัดว่ามีรายละเอียดที่น่าสนใจดังนี้
พระวิษณุและพระลักษมี (องค์สูง) พระราม-นางสีดา พระลักษณ์ พระภรต
และพระศัตรุฆน์ (แถวหน้า) กลางห้องโถงมหามณเฑียร
ต้นรากและอัตลักษณ์ชุมชนชาวอุตตรประเทศในเขตวัดวิษณุ
วัดวิษณุ ตั้งอยู่เลขที่ ๕๐ ซอยวัดปรก แขวงทุ่งวัดดอน ยานนาวา15
จัดตั้งขึ้นโดยชาวอินเดียที่มาจากแคว้นอุตตรประเทศ หรือที่เรียกกันว่า
พวกยูพี (U.P. - United Province or Uttra Pradesh) เมื่อปี
พ.ศ. ๒๔๕๘ โดยมีคณะกรรมการบริหารงานชุดหนึ่ง ซึ่งเลือกตั้งมาจากสมาชิกสามัญทุกๆ
ปี คณะกรรมการบริหารได้ร่วมกับชาวอินเดียในประเทศไทยจัดซื้อที่ดินและสร้าง
เทวาลัยหลังแรกขึ้นเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๖๓ เพื่อประกอบพิธีกรรมทางศาสนาฮินดูและประดิษฐานเทวรูปรามจันทราวตาร16
หลังจากนั้น จึงมีการสร้างห้องสมุดวัดวิษณุ สุสานฮินดู ศิวาลัย
และเทวาลัยพระศรีหนุมาน ความสำเร็จของการจัดสร้างเทวาลัยวัดวิษณุ
นอกจากจะเกิดจากการเรี่ยไรเงินของชาวอุตตรประเทศและชาวฮินดูกลุ่มอื่นๆ
แล้ว ยังมีหัวหน้าคณะวิศวกรชาวอังกฤษในบริษัทอีสต์เอเชียติกร่วมบริจาคเงินสมทบ17
แต่เนื่องจากพื้นที่ของวัดมีขนาดค่อนข้างคับแคบ จึงจัดสร้างเทวาลัยขนาดย่อมเพื่อประกอบพิธีกรรมแต่พอสังเขป
ส่วนสาเหตุที่เลือกซื้อที่ดินแถวยานนาวาเพื่อสร้างเป็นเทวาลัยนั้น
สืบเนื่องมาจากในสมัยก่อน ที่ดินย่านดังกล่าวมีราคาถูก ประกอบกับชาวอุตตรประเทศก็ประกอบอาชีพอยู่แถววัดดอนและถนนตกมากกว่าย่าน
อื่นๆ ของกรุงเทพมหานคร จึงสะดวกต่อการติดต่อและไปมาหาสู่18
นอกจากนี้ ลักษณะภูมิศาสตร์ของเขตยานนาวาซึ่งประกอบด้วยที่ราบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาสลับ
กับที่ดอนยังมีความสอดคล้องกับลักษณะการตั้งถิ่นฐานของชาวอินเดียเหนือตาม
เมืองพาราณศรีและอโยธยา ซึ่งมักตั้งถิ่นฐานอยู่ตามที่ดอน แต่ไม่ไกลจากชายฝั่งแม่น้ำคงคาและสาขามากนัก
ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๕๐๘ ศาสนิกชนชาวอุตตรประเทศได้ตัดสินใจสร้างเทวาลัยหลังใหม่
ให้มีความยิ่งใหญ่อลังการสมกับพระเกียรติยศขององค์พระวิษณุ โดยมีนายอมรนารถ
สัจเทว และนายตริโลกนาถ ปาวา เดินทางไปศึกษารูปแบบสถาปัตยกรรมวัดฮินดูในเขตอุตตรประเทศ
ตลอดจนสั่งซื้อเทวรูปหินอ่อนจากเมืองชัยปุระ (Jaipur) ซึ่งเป็นเมืองที่มีชื่อเสียงทางด้านประติมากรรมหินอ่อนในเขตราชสถาน19
ต่อมา ระหว่างช่วงวันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๐๘ จนถึง ๑๔
กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๐๙ บัณฑิตวิทยาธร สุกุล ประธานปูชารีวัดวิษณุ
ได้บำเพ็ญตบะปฏิบัติชปโยคะระหว่างปีมานวกัลยาณยัญญ์ ซึ่งเป็นการบำเพ็ญโยคะตามแบบฮินดูแท้
โดยบัณฑิตวิทยาธรได้บำเพ็ญบารมีอยู่แต่ภายในเทวาลัยวัดวิษณุเป็นเวลาหนึ่งปี
เต็ม โดยไม่พูด ไม่บริโภคอาหารที่สุกด้วยไฟ ไม่ออกจากเทวาลัย
และเข้าภาวนาวันละ ๘ ชั่วโมง การบำเพ็ญเพียรในลักษณะดังกล่าวจัดเป็นการสร้างมหากุศลอันแรงกล้า
ตลอดจนเป็นการบันดาลสิริมงคลอันสูงส่งให้แก่มหาบุรุษผู้ได้รับพรจากนักพรต20
หลังจากการเสร็จสิ้นพิธีปฏิบัติชปโยคะ บัณฑิตวิทยาธรได้เดินทางไปถวายพระพรอันเกิดจากการบำเพ็ญพรตแด่พระบาทสมเด็จ
พระเจ้าอยู่หัว ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน เมื่อวันที่ ๒๒ กุมภาพันธ์
พ.ศ. ๒๕๐๙ เพื่อแสดงความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ และเป็นการประทานพรแด่มหาบุรุษผู้เป็นหลักชัยแห่งสยามประเทศ21
เหตุการณ์ดังกล่าวจัดเป็นเหตุการณ์สำคัญ ไม่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์การทูตไทยสมัยใหม่
ต่อมาเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๗ ได้มีการจัดงานเฉลิมฉลองครบรอบ ๔๐๐
ปี หนังสือรามจริตมานัส ของท่านตุลสีทาส มหากวีอินเดียผู้ยิ่งใหญ่
ภายในบริเวณวัดวิษณุ โดยมีท่านศาสตราจารย์สุกิจ นิมมานเหมินท์
เป็นประธานกรรมการ รับหน้าที่ทำพิธีเปิดงานแทนนายกรัฐมนตรีแห่งประเทศไทย
นอกจากนี้ นายศรีวิทยาจรณะ สุกลา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงผลิตอาวุธ
แห่งรัฐบาลอินเดีย ผู้เป็นประธานกรรมการจัดงานฉลองครบรอบ ๔๐๐
ปี หนังสือรามจริตมานัส ในระดับโลก ยังได้มาร่วมงานและร่วมประกอบพิธีทางศาสนาพราหมณ์ฮินดูอีกด้วย22
วัดวิษณุนอกจากจะเป็นศูนย์กลางของชาวฮินดูอุตตรประเทศ และเป็นต้นแบบของไวษณพนิกายในเขตกรุงเทพมหานครแล้ว
ยังเป็นที่ตั้งของสมาคมฮินดูธรรมสภา (Hindu Dhama Sabha Association)
ซึ่งเป็นองค์กรที่มีบทบาทสำคัญในการช่วยเหลือและพัฒนาชุมชนฮินดูใน
เขตกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด
สมาคมฮินดูธรรมสภาจัดเป็นองค์การที่ทางราชการไทยให้การรับรอง
สังกัดแผนกองค์การศาสนาภายในประเทศ กรมการศาสนา กระทรวงศึกษาธิการ
และแผนกส่งเสริมศีลธรรม และจิตใจ แห่งสภาสังคมสงเคราะห์ สมาคมฮินดูธรรมสภาได้ให้ความร่วมมือแก่ทั้งทางราชการและองค์กรการกุศลต่างๆ
ตลอดถึงองค์การเอกชนในกิจการด้านศาสนาพราหมณ์ฮินดูด้วยดีเสมอมา
นอกจากนี้ ทางราชการก็ได้จัดสรรเงินรายได้ส่วนศาสนูปถัมภ์ให้แก่ฮินดูธรรมสภาวัดวิษณุ
เป็นประจำทุกปี ตามกำลังงบประมาณของกระทรวงศึกษาธิการ23
ขณะเดียวกัน วัดวิษณุยังทำหน้าที่เป็นศูนย์รวมของการประกอบพิธีกรรมทางศาสนา
โดยมีการจัดหาที่พักให้กับนักบวชที่เดินทางมาจากอินเดีย ผ่านการประสานงานของสมาคมฮินดูธรรมสภา
ตลอดจนเป็นแหล่งพบปะสังสรรค์ของนักธุรกิจฮินดูและชาวอินเดียเชื้อสายอุตตร
ประเทศที่พักอาศัยอยู่ในเขตกรุงเทพมหานคร
ในปัจจุบัน บัณฑิตวิทยาธร สุกุล จัดเป็นเสาหลักในการประกอบพิธีกรรมภายในวัดวิษณุ
โดยมี บัณฑิตพินเธศวรี สุกุล บุตรชาย ดำรงตำแหน่งประธานปูชารี
นายกฤษณะ ดี อุปเดียร์ ผู้มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาชุมชนฮินดูประจำเขตยานนาวา
ดำรงตำแหน่งนายกสมาคมฮินดูธรรมสภาคนล่าสุด
ชาวฮินดูอุตตรประเทศที่อาศัยอยู่ในย่านยานนาวาและบริเวณข้างเคียง
อาทิเช่น สาทร สุขุมวิท และสี่แยกบ้านแขก ก็เพิ่มจำนวนขึ้นอย่างต่อเนื่อง
โดยมีตระกูลสำคัญ ได้แก่ตระกูลซาฮี, มิสรา, อุปเดียร์, ตีวารี,
ปานเดย์, จันด์, ซิงห์ และยาดา24 กลุ่มคนเหล่านี้ล้วนสืบเชื้อสายมาจากแขกอุตตรประเทศในช่วงเจ็ดสิบถึงหนึ่ง
ร้อยห้าสิบปีที่แล้ว
พระกฤษณะ และ พระนางราธา
ในเชิงรูปแบบ สถาปัตยกรรม บริเวณวัดวิษณุ นอกจากจะประกอบไปด้วยมหามณเฑียรที่ประดิษฐานเทวรูปพระวิษณุ
ซึ่งสะท้อนถึงอิทธิพลของไวษณพนิกายตามแบบอินเดียเหนือแล้ว ด้านนอกยังมีวิหารขนาดเล็ก
ประดิษฐานเทวรูปพระศรีหนุมาน หอพระศิวะ หอพระนางทุรคาเทวี หอพระลักษมี
หอเทวดานพเคราะห์ และหอสมุดวัดวิษณุ25
มหามณเฑียรหรือเทวาลัยหลังใหม่ ได้รับการบูรณะปฏิสังขรณ์ระหว่างปี
พ.ศ. ๒๕๓๕ - ๒๕๔๔ จัดว่ามีความใหญ่โตและงดงามมาก ตัวอาคารก่อสร้างด้วยหินอ่อนสีขาว
มียอดปราสาทแบบศิขร ซึ่งเป็นการจำลองยอดเขาหิมาลัยอันเป็นศูนย์กลางของจักรวาล
เทคนิคการก่อสร้างดังกล่าวได้รับความนิยมมากในเขตอินเดียเหนือและอินเดีย
ตะวันตกแถบรัฐราชสถาน บริเวณห้องโถงของมหามณเฑียรเป็นที่ประดิษฐานเทวรูปหินอ่อนที่สั่งตรงมาจาก
เมืองชัยปุระ ประกอบไปด้วยเทวรูปพระวิษณุ - พระลักษมี พระราม
- นางสีดา พระลักษณ์ พระภรต พระศัตรุฆน์ ศรีหนุมานตอนแบกต้นสังกรณีตรีชวา
พระกฤษณะ - นางราธา พระพิฆเนศ ขนาบด้วยรูปหินอ่อนขนาดเล็กของพระนางพุทธิและสิทธิ
พระชายา รวมถึงพระพุทธรูปหินอ่อนซึ่งเป็นศิลปะแบบปาละ26
ห้องโถงภายในมหามณเฑียร นอกจากจะเป็นที่ประดิษฐานเทวรูปซึ่งเป็นที่นิยมตามแบบไวษณพนิกายในอุตตร
ประเทศแล้ว ยังเป็นที่ประกอบพิธีกรรม ตลอดจนกิจกรรมรื่นเริงทางศาสนา
โดยมักมีทั้งชาวอุตตรประเทศและชาวฮินดูกลุ่มต่างๆ เข้ามาร่วมร้องเพลงสรรเสริญพระผู้เป็นเจ้า
ตลอดจนร่วมกันอ่านบทโศลกของมหากาพย์รามายณะและคัมภีร์ภควัทคีตาในมหากาพย์
มหาภารตะ เป็นประจำทุกวัน
พระพิฆเนศ ขนาบด้วยพระชายา คือนางพุทธิและสิทธิ
ส่วนบริเวณด้านนอกของมหามณเฑียรนั้น นอกจากจะเต็มไปด้วยเทวาลัยขนาดย่อม
อันเป็นที่ประดิษฐานเทวรูปต่างๆ แล้ว ยังเป็นที่ตั้งของตึก "สุกิจ
นิมมานเหมินทร์" ซึ่งตั้งชื่อเพื่ออุทิศส่วนกุศลแด่ท่านอาจารย์สุกิจ
ผู้มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาวัดวิษณุ ภายในตัวตึกใช้เป็นสำนักงาน
ห้องสมุดภาษาฮินดี หอประชุมของสมาคมฮินดูธรรมสภา และห้องเลี้ยงอาหารสำหรับเหล่าศาสนิกชนที่เข้ามาบูชาเทวาลัย27
จากการศึกษารูปแบบสถาปัตยกรรมทำให้ทราบว่า วัดวิษณุจัดเป็นเทวาลัยฮินดูขนาดใหญ่ที่มีความงดงาม
สะท้อนอัตลักษณ์ของชุมชนฮินดูจากอุตตรประเทศ ซึ่งให้ความสำคัญกับการบูชาพระวิษณุและสองภาคอวตารที่ยิ่งใหญ่
อันได้แก่รามจันทราวตาร และกฤษณาวตาร ตลอดจนยังเป็นสถานที่สำคัญในการพบปะและประกอบกิจกรรมทางศาสนาของชาวฮินดูใน
เขตกรุงเทพมหานคร
ความโดดเด่นอีกประการหนึ่งของชุมชนฮินดูรอบวัดวิษณุ คือการหลอมรวมและสมานฉันท์ระหว่างชาวฮินดูกับชุมชนชาวต่างประเทศกลุ่มต่างๆ
ซึ่งตั้งถิ่นฐานอยู่ในย่านยานนาวา อันประกอบด้วยชุมชนชาวมอญ
- พม่า ในย่านวัดดอนและวัดปรก ชุมชนชาวมุสลิมรอบมัสยิดยะวา ชุมชนชาวไทยเชื้อสายจีนแถวสุสานวัดดอน
และชุมชนชาวคริสต์ในย่านบางรักและสาทร28
การก่อรูปทางภูมิศาสตร์ของเขตยานนาวา ซึ่งมีลักษณะเป็นที่ราบและตลาดท่าเรือริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา
เป็นปัจจัยสำคัญที่ดึงดูดให้ชาวต่างประเทศหลากหลายชาติพันธุ์เดินทางเข้ามา
ตั้งหลักปักฐานในบริเวณตอนใต้ของกรุงเทพฯ ซึ่งส่งผลให้เกิดลักษณะพหุลักษณ์เชิงวัฒนธรรมบนพื้นที่เขตยานนาวา
ชุมชนชาวฮินดูอุตตรประเทศก็จัดเป็นกลุ่มชนที่เข้ามาประกอบอาชีพตามบริษัท
ต่างประเทศ ซึ่งในอดีตมักตั้งเรียงรายอยู่ไม่ไกลจากฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยามากนัก
ขณะเดียวกัน การตั้งถิ่นฐานของแขกอุตตรประเทศก็ก่อให้เกิดปฎิสัมพันธ์และการปะทะสังสรรค์
กับชุมชนชาติพันธุ์ต่างๆ โดยมีรายละเอียดดังนี้
หนุมานตอนแบกต้นสังกรณีตรีชวา
๑. ความสัมพันธ์กับชุมชนชาวมอญ - พม่า: ชนชาติทั้งสองกลุ่มได้เริ่มอพยพเข้าสู่พื้นที่เขตยานนาวาตั้งแต่สมัยรัชกาล
ที่ ๑ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ อันเป็นผลมาจากนโยบายขยายอำนาจทางการทหารของพม่าในสมัยพระเจ้าปดุง
(Bodawpaya) ซึ่งทำให้มีชาวมอญและพม่าจากเมืองทวาย มะริด และตะนาวศรี
อพยพลี้ภัยสงครามเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารของกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี
ต่อมา ได้มีชาวมอญจากเมืองหงสาวดีอพยพเข้ามาอาศัยอยู่ในเขตยานนาวาเป็นจำนวนมาก
รวมถึงมีการจัดสร้างวัดปรก เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๗๐ เพื่อเป็นศูนย์กลางของชุมชนรามัญจากหงสาวดี29
ครั้นต่อมา เมื่อชาวฮินดูจากอุตตรประเทศเข้ามาสร้างเทวาลัยวัดวิษณุซึ่งอยู่ตรงข้ามกับ
วัดปรก จึงเกิดการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมระหว่างชาวฮินดูกับชาวพุทธ
โดยกลุ่มชาวอุตตรประเทศได้บริจาคเทวรูป ตลอดจนดินและน้ำศักดิ์สิทธิ์ในเขตพุทธสถานจากอินเดียเหนือให้กับวัดปรก
วัดดอน และวัดยานนาวา ซึ่งสร้างความพอใจให้กับชาวมอญ ชาวไทย
และชาวพม่าเป็นอย่างมาก
ด้านซ้ายของมหามณเฑียรคือตึกสุกิจ นิมมานเหมินทร์ เป็นอาคารสูงสองชั้น
มุมขวาบนของภาพมองเห็นอาคารในวัดปรกที่อยู่ใกล้ๆ กัน
ขณะเดียวกัน ประชาชนซึ่งอาศัยอยู่รอบวัดปรกก็นิยมเข้าไปนมัสการและบูชาเทพเจ้าฮินดูในวัดวิษณุ
เพื่อตรวจสอบดวงชะตาและเพิ่มพูนสิริมงคลให้ชีวิต โดยเฉพาะชาวไทยเชื้อสายมอญนั้นมีความเชื่อและศรัทธาทั้งพระพุทธศาสนาและ
เทพเจ้าของศาสนาฮินดู นอกจากนี้ ในปี พ.ศ. ๒๕๓๐ อันเป็นปีครบรอบ
๖๐ พรรษาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมาคมฮินดูธรรมสภาได้ประกอบพิธีเพื่อประดิษฐานพระพุทธรูปนามว่า
"พระพุทธธรรมจักรศรีตรีโลกนาถ" อันเป็นเครื่องหมายอุดมมงคลแทนองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระรัตนตรัย
ตลอดจนเป็นการน้อมถวายพระราชกุศลแต่องค์เอกอัครศาสนูปถัมภกประจำราชวงศ์
จักรี30
การอัญเชิญพระพุทธรูปเข้ามายังวัดวิษณุ นอกจากจะก่อให้เกิดความสมานฉันท์ระหว่างศาสนาพุทธกับฮินดูแล้ว
ยังเป็นปัจจัยดึงดูดให้ชาวมอญ พม่า และชาวไทยในละแวกข้างเคียงเดินทางเข้ามาสักการะบูชาและพบปะสังสรรค์กับกลุ่ม
แขกอุตตรประเทศมากยิ่งขึ้น
๒. ความสัมพันธ์กับชุมชนชาวมุสลิม: ในสมัยอาณานิคม
ชาวชวา (ยะวา) บางส่วนจากประเทศอินโดนีเซียได้ถูกเกณฑ์เป็นแรงงานให้บริษัทต่างประเทศของเน
เธอแลนด์ ซึ่งมีฐานการผลิตอยู่ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาในเขตบางรัก
ยานนาวา และคลองสาทร ครั้นเมื่อมาถึงปี พ.ศ. ๒๔๓๗ ฮัจยีมุฮัมมัด
ซอและฮ์ (Haji Mohammad Saleh) ชาวชวาในบังคับของฮอลันดา ซึ่งอาศัยอยู่บริเวณตรอกโรงน้ำแข็ง
ย่านยานนาวาได้มอบที่ดินให้เป็นสถานที่ปลูกสร้างมัสยิดยะวา เพื่อใช้เป็นสถานที่นมัสการพระผู้เป็นเจ้า
ต่อมาได้เริ่มมีชาวมุสลิมอินโดนีเซียเดินทางเข้ามาตั้งหลักแหล่งแถวยานนาวา
มากขึ้น โดยมีศูนย์กลางอยู่ที่มัสยิดยะวาซึ่งอยู่ไม่ไกลจากวัดวิษณุ31
ความสัมพันธ์ระหว่างชาวฮินดูกับมุสลิมเกิดจากความเห็นอกเห็นใจกัน
ในการตกเป็นเมืองขึ้นของอาณานิคมตะวันตก ตลอดจนมีการขยายความร่วมมือระหว่างชุมชนทั้งในแง่ของการต่อต้านลัทธิ
อาณานิคม การจัดตั้งเครือข่ายเคลื่อนไหวเรียกร้องเอกราช รวมถึงการพัฒนาท้องถิ่น
อาทิเช่น การจัดทำกิจกรรมสมานฉันท์ทางศาสนาระหว่างฮินดูกับอิสลาม
และการร่วมพัฒนาโครงการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมระหว่างวัดวิษณุกับมัสยิดยะ
วา32
ดังนั้น ความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มชนทั้งสองจึงค่อนข้างแนบแน่น
และเต็มไปด้วยความร่วมมือมากกว่าความขัดแย้ง
๓. ความสัมพันธ์กับชุมชนชาวจีนแต้จิ๋ว: ในอดีต
เขตยานนาวาเป็นที่ตั้งสุสานวัดดอน ซึ่งเป็นสถานที่ฝังศพของชาวจีนแต้จิ๋วและคนไทยเชื้อสายจีนบนเนื้อที่กว่า
๑๕๐ ไร่ ตลอดจนเป็นตลาดการค้าและท่าเทียบเรือสำเภาจีนในยุครัตนโกสินทร์ตอนต้น
สำหรับปฏิสัมพันธ์ระหว่างชาวฮินดูกับชาวจีนนั้นมักเป็นไปในลักษณะของการผสม
ผสานทางศาสนาและความเชื่อ ยกตัวอย่างเช่น เมื่อมีการประกอบพิธีฝังศพในสุสานวัดดอน
กลุ่มชาวไทยเชื้อสายจีนมักเชื้อเชิญนักบวชชาวอุตตรประเทศเข้ามาประกอบ
พิธีกรรม เพื่อเพิ่มความศักดิ์สิทธิ์และส่งวิญญาณผู้ตายไปสู่สรวงสวรรค์33
ขณะเดียวกัน ความเชื่อของชาวจีนที่เกี่ยวกับเทวตำนานก็ได้เริ่มขยายตัวจากการบูชาพระ
โพธิสัตว์และเจ้าแม่กวนอิม ไปสู่การบูชาเทพเจ้าในศาสนาฮินดู
โดยเฉพาะพระวิษณุและพระพิฆเนศ ซึ่งเป็นเทพเจ้าที่ชาวจีนเริ่มหันมานับถือ
เนื่องจากเป็นสัญลักษณ์แห่งโชคลาภและความสำเร็จ
ในระยะหลังจึงมีชาวไทยเชื้อสายจีนเข้าไปนมัสการเทวรูปในวัดวิษณุ
เป็นจำนวนมาก ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่า การผสมผสานทางความเชื่อและเทวตำนานจัดเป็นปัจจัยสำคัญที่อยู่เบื้องหลังความ
สัมพันธ์ระหว่างชาวอินเดียอุตตรประเทศกับชาวจีนแต้จิ๋วย่านยานนาวา
๔. ความสัมพันธ์กับชุมชนชาวคริสต์: ปฏิสัมพันธ์ระหว่างชาวฮินดูกับชาวคริสต์
แม้ว่าจะมีมรดกจากยุคอาณานิคมเป็นอุปสรรคขัดขวาง แต่ชุมชนทั้งสองก็ถูกถักทอและร้อยเรียงด้วยกิจกรรมทางการค้าและพาณิชย์นาวี
เนื่องจากพื้นที่แถวสาทร บางรัก และยานนาวาเป็นศูนย์กลางทางการค้าระหว่างประเทศ
และเป็นที่ตั้งของบริษัทส่งออก - นำเข้า กลุ่มสถานทูตของประเทศตะวันตก
ตลอดจนโรงเรียนของคณะนักบวชในคริสต์ศาสนา เช่น อัสสัมชัญ เซ็นหลุยส์
และกรุงเทพคริสเตียน โดยทางคณะกรรมการประจำโรงเรียนมักว่าจ้างชาวอุตตรประเทศเข้ามาเป็นอาจารย์
สอนภาษาอังกฤษและปรัชญาฮินดู เนื่องจากมีความคล่องแคล่วทางการสอนและมีอัตราจ้างถูกกว่าชาวตะวันตก
ขณะเดียวกัน ชาวอุตตรประเทศยังได้ไปประกอบอาชีพเป็นพนักงานรักษาความปลอดภัยตามบริษัท
สัญชาติตะวันตก34 แต่ในปัจจุบัน อัตราการจ้างชาวอุตตรประเทศเข้ามาเป็นยามรักษาความปลอดภัยได้ลดลงอย่างรวด
เร็ว เนื่องจากชาวอุตตรประเทศมักหันไปประกอบอาชีพอื่น เช่น ค้าขายและประกอบธุรกิจส่วนตัว
ประกอบกับบริษัทต่างๆ ก็มักนิยมจ้างคนไทยเข้ามาทำงานมากขึ้น
ภายในศิวาลัย ข้างมหามณเฑียร มีผู้ศรัทธามากราบไหว้บูชาอยู่อย่างสม่ำเสมอ
ความส่งท้าย
จากการศึกษาความเป็นมาทางประวัติศาสตร์และลักษณะทางวัฒนธรรม
สามารถสรุปได้ว่า วัดวิษณุคือศูนย์กลางของชุมชนชาวอุตตรประเทศในเขตกรุงเทพมหานคร
ซึ่งสะท้อนถึงอิทธิพลของอารยธรรมแบบไวษณพนิกายที่ปรากฎในสังคมไทยยุค
ปัจจุบัน นอกจากนี้ วัดวิษณุยังเป็นตัวแทนของอารยธรรมอินเดียเหนือที่เคลื่อนตัวเข้าสู่ประเทศ
ไทยภายใต้แรงบีบคั้นของลัทธิอาณานิคมตะวันตก ตลอดจนเป็นตัวแทนของประวัติศาสตร์การทูตชุดใหม่ที่ขยายตัวเข้าปกคลุมประเทศ
ไทยภายใต้เงื่อนไขและบริบทของการเรียกร้องเอกราช และการแสวงหาที่ทำกินในต่างแดน
ลักษณะดังกล่าวได้ส่งผลให้ชุมชนชาวอุตตรประเทศเกิดการรวมตัวกัน
อย่างเหนียวแน่น เพื่อประกอบกิจกรรมทางการเมืองและช่วยเหลือเกื้อกูลกันในยามยาก
โดยมีการสถาปนาฮินดูธรรมสภาวัดวิษณุเป็นศูนย์รวมทางจิตวิญญาณและศูนย์กลาง
การประกอบพิธีกรรมทางศาสนาพราหมณ์ฮินดู
ขณะเดียวกัน สภาพสังคมท้องถิ่นของเขตยานนาวา ซึ่งประกอบด้วยประชากรหลากชาติหลายภาษา
ก็ส่งผลให้ชุมชนอุตตรประเทศรอบวัดวิษณุเกิดการปะทะสังสรรค์และสื่อประสาน
สัมพันธ์กับชุมชนรอบข้างได้อย่างแนบแน่นและกลมเกลียว ไม่ว่าจะเป็นชุมชนชาวมอญ
- พม่า ชุมชนมุสลิมอินโดนีเซีย ชุมชนชาวจีนแต้จิ๋ว และ ชุมชนชาวคริสต์ย่านบางรัก
- สาทร โดยมีความผูกพันทางประวัติศาสตร์ การผสมผสานทางศาสนา
และลักษณะของการประกอบอาชีพ เป็นสื่อสายใยสัมพันธ์ที่คอยถักทอและยึดโยงให้ชาวอุตตรประเทศอยู่ร่วมกับ
ชุมชนรอบข้างได้อย่างสันติและสมานฉันท์
ดังนั้น จึงกล่าวได้ว่า วัดวิษณุคือศูนย์กลางชุมชนชาวอุตตรประเทศที่สะท้อนถึงการผสมผสานกันอย่างลง
ตัว ระหว่างประวัติศาสตร์การทูตยุคอาณานิคมกับประวัติศาสตร์ท้องถิ่น
ตลอดจนแสดงถึงอัตลักษณ์ของชาวอินเดียเหนือ ท่ามกลางพหุลักษณ์เชิงวัฒนธรรมของประชากรหลากหลายชาติพันธุ์ในเขตกรุงเทพมหานคร
ขอขอบพระคุณ : วารสารเมืองโบราณ
---------------- อ่านเรื่ององค์เทพเพิ่มเติม
----------------
หน้าแรก-องค์เทพ
(สยามคเณศ)
ศาสนาพราหมณ์
ศาสนาฮินดู เทพเจ้าอินเดีย
พระพรหม
ท้าวมหาพรหม พระพรหมเอราวัณ ศาลพระพรหม
, พระวิษณุ
พระนารายณ์ พระนารายณ์ทรงครุฑ
นารายณ์ทรงสุบรรณ คาถาบูชาพระนารายณ์สิบปาง
, พระศิวะ
พระอิศวร , พระราม
รามเกียรติ์ รามายณะ ,
พระกฤษณะ
ภควัทคีตา มหาภารตะ ,
ครุฑ
พระยาครุฑ พญาครุฑ
วิธีไหว้พญาครุท ตำนานพญาครุท บทบูชาพญาครุท
,
พญานาค พระยานาค วิธีบูชาพญานาค การไหว้พญานาค
พระแม่อุมาเทวี
เจ้าแม่อุมาเทวี , พระแม่กาลี
เจ้าแม่กาลี ,
พระแม่ทุรคา
เจ้าแม่ทุรกา , พระตรีมูรติ
การบูชาพระตรีมูรติ
พระแม่ลักษมี
เจ้าแม่รัศมี พระนางลักษมี พระลักษมี
,
พระแม่สรัสวตี
พระสรัสวดี พระแม่สุรัสวตี พระสุรัสวดี
,
พระขันทกุมาร
การบูชาพระขันธกุมาร ,
หนุมาน
พระหนุมาน องค์หนุมาน การไหว้หนุมาน
,
พระอินทร์ พระอินทร์ทรงช้างเอราวัณ
ท้าวจตุโลกบาล
- เทพผู้รักษาประจำทิศ เทพประจำทิศ
,
ท้าวเวสสุวัณ
ท้าวเวสสุวรรณ ท้าวกุเวร
พระแม่คงคา
แม่น้ำคงคา เมืองพาราณสี ประเทศอินเดีย
, พระแม่ธรณี
, พระแม่โพสพ
--------- สถานที่ ศาล เทวาลัย
เพื่อกราบไหว้ขอพรองค์เทพ ---------
วัดเทพมณเฑียร
วัดเทพมณเทียร , เทวสถานโบสถ์พราหมณ์
เสาชิงช้า
, วัดวิษณุ
ยานนาวา , พิพิธภัณฑ์พระพิฆเนศ
พิพิธภัณฑ์พระพิฆเณศวร์ เชียงใหม่
, ศาลพระพิฆเนศห้วยขวาง
พระพิฆเณศสี่แยกห้วยขวางรัชดาภิเษก
, เสาชิงช้า
, พระพิฆเนศนครนายก
พระพิฆเณศที่ใหญ่ที่สุดในโลก (ปางนั่ง-ปูนปั้น)
, พระพิฆเนศฉะเชิงเทรา
พระพิฆเนศที่ใหญ่ที่สุดในโลก (ปางยืน-สำริด)
วัดพระศรีมหาอุมาเทวี
สีลม วัดแขกสีลม นวราตรี งานนวราตรี
เมืองโบราณ
สมุทรปราการ , พิพิธภัณฑ์ช้างสามเศียร
ช้างเอราวัณ สมุทรปราการ
ช้าง
3 เศียร พิพิธภัณฑ์ช้าง 3 เศียร จังหวัดสมุทรปราการ
-
พระพิฆเนศ ฉะเชิงเทรา องค์พระพิฆเณศ วัดสมาน จ.ฉะเชิงเทรา
-
พระพิฆเนศวร ฉะเชิงเทรา องค์พระพิฆเนศ พระพรหม พระวิษณุ
พระศิวะ ที่วัดสมานรัตนาราม จังหวัดฉะเชิงเทรา
-
ศาลท้าวมหาพรหมเอราวัณ พระพรหมเอราวัณ แยกราชประสงค์
-
พระพิฆเนศที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ที่อินเดีย
อัสตะวินายัก พระพิฆเนศกำเนิดตามธรรมชาติ 8 แห่ง
-
รวมรูปองค์เทพ | -
รวมสถานที่บูชาองค์เทพ | -
รวมความรู้การบูชาองค์เทพ
โครงการ
"พันเทวาลัย ล้านศรัทธา"
รวมสถานที่สักการะเทพเจ้าของพราหมณ์ฮินดูทั่วประเทศไทย
----------------- เทศกาล
งานสำคัญต่างๆ -----------------
-
"คเณศจตุรถี" งานแห่พระพิฆเณศวร์
วันคเณศจตุรถี วันประสูติพระพิฆเนศวร์
-
"นวราตรี" งานวัดแขก งานแห่พระแม่อุมาเทวี
ร่างทรงพระแม่อุมา งานนวราตรี
-
"มหาศิวราตรี" เทศกาลมหาศิวาราตรี
วันบูชาพระศิวะในงานมหาศิวะราตรี
-
"ดีปาวลี" ดีวาลี่ ทีปาวาลี
เทศกาลดีปาวาลี งานบูชาพระแม่ลักษมีในงานดีปาวรี
-
"พระราชพิธีตรียัมปวาย"
งานตรียัมปวาย งานประจำปี เทวสถานโบสถ์พราหมณ์
- โบสถ์พราหมณ์ การเดินทางไปโบสถ์พราหม์
แผนที่โบสถ์พราห์ม , พระราชพิธีแรกนาขวัญ
งานแรกนาขวัญ
[ การบูชาเทพเจ้า
]
-
รวมบทสวดมนต์บูชาพระพิฆเนศวร
คาถาบูชาพระพิฆเณศวร์ การไหว้องค์เทพ บูชาเทพ วิธีบูชาองค์เทพ
-
ความเข้าใจผิดๆเกี่ยวกับการบูชาเทพ การไหว้เทพฮินดู
-
เครื่องหมายโอม...สัญลักษณ์โอม และวิธีการสวดบูชา
| -
เครื่องหมายสวัสดิกะ...สัญลักษณ์สวัสติกะแห่งพระพิฆเนศ
-
สิ่งที่ควรรู้สั้นๆ เกี่ยวกับพระพิฆเนศ การบูชาพระพิฆเณศวร์
| -
ตำนานกำเนิดพระพิฆเนศ ประวัติพระพิฆเณศ
-
ตำนานว่าด้วยเศียรช้าง งาข้างเดียว และหนูบริวารของพระพิฆเนศ
-
ตำนานองค์พระพิฆเนศในเอเชียแปซิฟิก |
-
ตำนานองค์พระพิฆเนศในประเทศไทย
-
พระคเณศ ในฐานะเทพแห่งปัญญาและความรู้
| -
พระพิฆเณศในฐานะหัวหน้าบริวารของพระศิวะ
-
พรที่พระพิฆเนศได้รับจากมหาเทพ-มหาเทวี
| -
อานิสงค์จากการบูชาพระพิฆเนศ การขอพรพระพิฆเนศ
-
คเณศจตุรถี...วันประสูตรพระพิฆเนศ วันคเนศจตุรถี
เทศกาลพระพิฆเนศ งานแห่พระพิฆเณศวัดแขก
-
การบูชาพระแม่กาลี (ตามวิธีของ อ.พิทักษ์ โค้ววันชัย
สำนักพิมพ์สยามคเณศ)
-
บทสรรเสริญพระศิวะ ผู้คืออักขระ 5 ตัว บทสวดพระศิวะมหาเทพ
| -
พระแม่ลักษมี 8 ปาง การบูชาพระแม่ลักษมี
-
พญาครุฑ การบูชาพญาครุฑ องค์พญาครุฑ
| -
พญานาค การบูชาองค์พญานาค | -
ท้าวเวสสุวรรณ ท้าวเวสสุวัณ ท้าวจตุโลกบาล
-
รูปพระแม่อุมาเทวี องค์พระแม่อุมาเทวี พระศรีมหาอุมาเทวี
การบูชาพระแม่อุมาเทวี | -
องค์พระตรีมูรติ การบูชาพระตรีมูรติ
-
พระวิษณุ หรือ พระนารายณ์ การบูชาพระวิษณุ องค์พระวิษณุ
ปางของพระวิษณุ | -
องค์พระแม่ลักษมี รูปพระแม่ลักษมี
-
ตำนานพระสีวลี ผู้เป็นเลิศในลาภสักการะ
| -
พระสีวลีผู้เป็นเลิศในลาภสักการะ | -
การบูชาพระสีวลี การขอพรพระสีวลี
-
การกำเนิดพระสีวลี โดยการทรงประทานพรของพระพุทธเจ้า
| -
พระสีวลี หรือ พระสิวลีพระอรหันต์ผู้มีลาภสักการะเป็นที่สุด
-
ตำนานพระสีวลี พระสิวลี พระสีวะลี ตำนานกำเนิดพระสีวลี
-
พระเกจิ ประวัติพระสงฆ์ หลวงพ่อจรัญ
| -
การเดินทางไปวัด ขอพรหลวงพ่อ วัดในจังหวัดต่างๆ
-
เจ้าแม่กวนอิม องค์เจ้าแม่กวนอิม การบูชาเจ้าแม่กวนอิม
พระแม่กวนอิมปางต่างๆ
[ เรื่องร่างทรง
]
เรื่องร่างทรง
1 - เตือนใจเรื่องร่างทรง
มารสังคมที่ต้องระวัง (รับขันธ์ ร่างทรง ตำหนักทรง
มีองค์ คนมีองค์ องค์เทพ)
เรื่องร่างทรง
2 - คนมีองค์
กับ ร่างทรง ต่างกันอย่างไร ? (รับขันธ์ ร่างทรง
ตำหนักทรง มีองค์ คนมีองค์ องค์เทพ)
เรื่องร่างทรง
3 - ร่างทรงกำลังทรงเจ้า
หรือกำลังโดนผีสิง ? (รับขันธ์ ร่างทรง ตำหนักทรง
มีองค์ คนมีองค์ องค์เทพ)
เรื่องร่างทรง
4 - การรับขันธ์
อันตรายถึงชีวิต! (รับขันธ์ ร่างทรง ตำหนักทรง มีองค์
คนมีองค์ องค์เทพ)
เรื่องร่างทรง
5 - ตอบคำถามร่างทรง
(รับขันธ์ ร่างทรง ตำหนักทรง มีองค์ คนมีองค์ การทรงเจ้า
องค์เทพ)
เรื่องร่างทรง
6 -
ถอนขันธ์ ลาขันธ์ (การรับขันธ์ ร่างทรง ตำหนักทรง
มีองค์ คนมีองค์ คนทรงเจ้าองค์เทพ)
เรื่องร่างทรง
7 -
รวมข่าวร่างทรงถูกจับ (การรับขันธ์ ร่างทรง ตำหนักทรง
มีองค์ คนมีองค์ คนทรงเจ้า องค์เทพ)
[ พระศิวะมหาเทพ
]
1.
ตำนานพระศิวะ | 2.
รูปลักษณ์
แห่งพระศิวะ วิธีบูชาพระศิวะมหาเทพ
| 3.
เมล็ดรุทรักษะ
เมล็ดน้ำตาพระศิวะ
4.
โคนนทิ พาหนะแห่งพระศิวะ
สัตว์ศักดิ์สิทธิ์
| 5.
ศิวะนาฏราช
พระศิวะร่ายรำ ปางของพระศิวะ
6.
ศิวลึงก์ สัญลักษณ์แทนองค์พระศิวะ
การบูชาศิวลึงค์
| 7.
คาถา บทสวดมนต์ การบูชาพระศิวะ
[ พระประจำวันเกิด
, นวนพเคราะห์ ]
พระประจำวันเกิด
พระประจำวันอาทิตย์ พระประจำคนเกิดวันอาทิตย์ พระสุริยะเทพ
(พระอาทิตย์)
พระประจำวันเกิด
พระประจำวันจันทร์ พระประจำคนเกิดวันจันทร์ พระจันทร์
พระประจำวันเกิด
พระประจำวันอังคาร พระประจำคนเกิดวันอังคาร พระอังคาร
,
พระประจำวันเกิด
พระประจำวันพุธ พระประจำคนเกิดวันพุธกลางวัน พระพุธ
พระราหู
การไหว้พระราหู วิธีบูชาพระราหู คาถาบูชาพระราหู
พระประจำวันเกิด พระประจำคนเกิดวันพุธกลางคืน
พระประจำวันเกิด
พระประจำวันพฤหัสบดี พระประจำคนเกิดวันพฤหัสบดี
พระพฤหัสบดี
พระประจำวันเกิด
พระประจำวันศุกร์ พระศุกร์
, พระประจำวันเสาร์
พระประจำวันเกิด พระเสาร์ , พระเกตุ
|
|
|